วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553




นิยามของความรัก

หากจะให้นิยามคำว่ารัก คำๆ นี้ จะมีความหมายกว้างมากๆ เหตุเพราะจิตใจที่ยากจะหยั่งถึงของคนเรา... คนทั่วๆ ไป มักจะให้ความหมายของคำว่ารักอย่างง่ายๆ เช่น รักคือการให้ นักวิยาศาสตร์ ก็อาจจะให้ความหมายของคำว่ารักว่า รักเป็นเพียงแค่ อารมณ์ความรู้สึกอีกรูปแบบหนึ่งของมนุษย์ หรือหากเป็นเด็กๆ วัยรุ่นสักหน่อย ก็จะให้ความหมายของคำว่ารัก แตกต่างออกไป เช่น “รักนะเด็กโง่” “รักนะแต่ไม่แสดงออก” “รักนะ รถอ่ะ มีรึเปล่า” ร้อยแปดพันเก้า ต่างๆ นาๆ แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัย ทั้งทางด้านวุติภาวะ สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู อาหารการกิน เพลงที่ฟัง โรงเรียนที่เรียนจบ เพื่อนที่คบ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ และอีกมากมายหลายอย่าง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปถึงพื้นฐาน... ความหมายของคำว่ารัก ก็พอที่จะสามารถสรุปออกมาให้เป็นเรื่องเป็นราวได้เช่นกัน ลองมาดูคำนิยามของความรัก ด้านล่างเหล่านี้ ว่าจะใช่ส่วนประกอบที่ถูกต้องของความรักหรือไม่ อาจจะยังไม่ครบถ้วนทั้งหมด แต่หากทำได้ ก็พอจะใกล้เคียงกับคำว่า ความรักที่แท้จริง อย่างแน่นอน

รักคือการยอมรับซึ่งกันและกัน การให้การยอมรับ คือความรู้สึกเข้าใจในตัวตนของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่มีเงื่อนไข เช่น ถ้าหากเขาหรือเธอเป็นคนอ่อนแอ ก็ใช้วิธีให้กำลังใจ มากกว่าการตำหนิ.. ถ้าหากเขาหรือเธอเป็นคนบ้างาน ก็คอยให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุน. การเกิดความรู้สึกยอมรับ คือการบอกกับตัวเองว่า โอเค, เพียงพอแล้ว ไม่ต้องการสิ่งพิเศษอันใดเพิ่มเติมอีก.. หรือหากว่าจะให้สุดยอดกว่านี้ นอกจากจะไม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมแล้ว ยังหมายถึงความรู้สึกชื่นชมยินดีในตัวตนของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย (เฮ้ออ.. ฟังดูยากจริงแฮะ)

รักคือความต้องการที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี และมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเอาใจใส่, ใช้เวลาร่วมกัน, พูดจากันด้วยเหตุผลมากกว่าการใช้อารมณ์, เคารพในสิทธิของแต่ละฝ่าย ฯลฯ และหากคิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีและมีความสุขได้เช่นไร ลองเริ่มต้นด้วยการคิดว่า สิ่งที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีและมีความสุขคืออะไร เมื่อเข้าใจแล้ว ก็มอบสิ่งๆ เดียวกันนี้ ให้กับอีกฝ่ายหนึ่งไป การใส่ใจในความรู้สึก และการสร้างความสุข เป็นอีกหนึ่งพื้นฐานสำคัญ ที่จะทำให้ความรักมั่นคง และยั่งยืนยาวนาน

รักคือการคำนึงถึงความปลอดภัยในสายสัมพันธ์คำนิยามนี้ หมายถึง การคำนึงถึงองค์ประกอบต่างๆ และเป็นวิธีที่จะทำให้สายสัมพันธ์ในชีวิตคู่มีสุขภาพแข็งแรง.. นี่เป็นอีกระดับหนึ่ง ที่สูงขึ้นมาจากคำนิยามในข้อที่แล้ว เพราะการทำให้สายสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างปลอดภัย ยังรวมไปถึง สิ่งอย่างเช่น การร่วมกันฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆ, การยื่นมือให้ความช่วยเหลือในยามจำเป็น, การไม่โกหก สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนวัคซีนที่ให้บริการฟรี (เพราะคุณสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง) มันจะป้องกันไม่ให้ความรักเจ็บป่วย หรืออ่อนแอ

รักคือการเพิกเฉยต่อรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เข้าท่าเรื่องที่ไม่เข้าท่า คือ เรื่องอย่างเช่น “อ๊ะ เมื่อวานเธอคุยโทรศัพท์กับใครบ้าง” หรือการเอาแต่ทำตัวจู้จี้จุกจิก เช่น “วันนี้เลิกงานดึกมากเหรอ แต่ยังไงก็ต้องมาหาเรานะ” (จริงๆ แล้ว ควรจะพูดว่า “วันนี้เลิกงานดึกมากเหรอ รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”) การเก็บรายละเอียดไปหมด แม้แต่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะะส่งผลแย่ๆ คือทำให้ทั้งตัวเองและฝ่ายตรงข้าม เกิดอาการเบื่อ และหงุดหงิดใจไปพร้อมๆ กัน...

รักคือความอดทน และเชื่อใจกัน เคล็ดลับของสายสัมพันธ์ความรักที่ดี คือความอดทนและเชื่อใจกัน... ความไว้ใจ และความเชื่อใจ เป็นจุดเริ่มต้น ที่จะทำให้เราเกิดความรู้สึกดีภายในใจของตัวเราเองก่อน พอเรารู้สึกดี ความกังวลก็จะน้อยลง และเราก็จะไม่ไปคิดในด้านไม่ดี หรือไม่ไปใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่จึงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเริ่มต้นรักตัวเอง พอรักตัวเองเป็นแล้ว ก็จะรักคนอื่นเป็นด้วย ดังนั้น จึงควรระลึกเอาไว้ในใจบ่อยๆ ว่า ความอดทนและความไว้ใจเป็นเรื่องสำคัญมาก พอเริ่มชินกับคำสองคำนี้ ก็จะประนีประนอมต่อกันได้ และจะช่วยให้ขีวิตรัก มีความสุขมากขึ้นเช่นกัน
แบดมินตัน

แบดมินตัน (Badminton) เป็นกีฬาที่ได้รับการวิจารณ์เป็นอย่างมากเพราะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดถึงที่มาของกีฬาประเภทนี้ คงมีแต่หลักฐานบางอย่างที่ทำให้ทราบว่ากีฬาแบดมินตันมีเล่นกันในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษตอนปลายศตวรรษที่ 17 และจากภาพสน้ำมันหลายภาพได้ยืนยันว่ากีฬาแบดมินตันเล่นกันอย่างแพร่หลายในพระราชวงศ์ของราชสำนักต่างๆ ในทวีปยุโรป แม้ว่าจะเรียกกันภายใต้ชื่ออื่นก็ตาม

ประวัติของกีฬาแบดมินตันบันทึกได้แน่นอนในปี พ.ศ. 2413 ปรากฏว่ามีการเล่นกีฬาลูกขนไก่เกิดขึ้นที่เมืองปูนา (Poona) ในประเทศอินเดีย เป็นเมืองเล็กๆ ห่างจากเมืองบอมเปย์ประมาณ 50 ไมล์ โดยได้รวมการเล่นสองอย่างเข้าด้วยกันคือ การเล่นปูนาของประเทศอินเดีย และการเล่นไม้ตีกับลูกขนไก่ (Battledore Shuttle Cock) ของยุโรป ในระยะแรกๆ การเล่นจะเล่นกันเพียงแต่ในหมู่นายทหารของกองทัพ และสมาชิกชนชั้นสูงของอินเดีย จนกระทั่งมีนายทหารอังกฤษที่ไปประจำการอยู่ที่เมืองปูนา นำการเล่นตีลูกขนไก่นี้กลับไปอังกฤษ และเล่นกันอย่างกว้างขวาง ณ คฤหาสน์แบดมินตัน (Badminton House) ของดยุคแห่งบิวฟอร์ด ที่กล๊อสเตอร์เชอร์ ในปี พ.ศ. 2416 เกมกีฬาตีลูกขนไก่เลยถูกเรียกว่า แบดมินตัน ตามชื่อคฤหาสน์ของดยุคแห่งบิวฟอร์ดตั้งแต่นั้นมา

กีฬาแบดมินตันเริ่มแพร่หลายในประเทศแถบภาคพื้นยุโรป เพราะเป็นเกมที่คล้ายเทนนิส แต่สามารถเล่นได้ภายในตัวตึก โดยไม่ต้องกังวลต่อลมหรือหิมะในฤดูหนาว ชาวยุโรปที่อพยพไปสู่ทวีปอเมริกา ได้นำกีฬาแบดมินตันไปเผยแพร่ รวมทั้งประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชียและออสเตรเลียที่อยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ต่างนำเกมแบดมินตันไปเล่นยังประเทศของตนอย่างแพร่หลาย เกมกีฬาแบดมินตันจึงกระจายไปสู่ส่วนต่างๆ ของโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย

การเล่นแบดมินตันในระยะแรกๆ มิได้มีกฎเกณฑ์ แต่เป็นเพียงตีโต้ลูกกันไปมาไม่ให้ลูกตกพื้นเท่านั้น เส้นแบ่งแดนก็ใช้ตาข่ายผูกโยงระหว่างต้นไม้สองต้นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องต่ำสูง เล่นกันข้างละไม่น้อยกว่า 4 คน ส่วนมาจะเล่นทีมละ 6 ถึง 9 คน ผู้เล่นแต่งตัวตามสบาย สุภาพสตรีสวมกระโปรงยาวทั้งชุด ใส่หมวกติดผ้าลายลูกไม้ สุภาพบุรุษแต่งสากลผูกโบว์ไทด์ เพราะกีฬาแบดมินตันได้รับความนิยมแพร่หลายออกไปตามบ้านข้าราชการ พ่อค้า คหบดี และประชาชน

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2436 ได้มีการจัดตั้งสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศอังกฤษขึ้น ซึ่งนับเป็นสมาคมแบดมินตันแห่งแรกของโลก มีการจัดแข่งขันแบดมินตันชิงชนะเลิศแห่งประเทศอังกฤษ หรือที่เรียกกันว่า ออลอิงแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2432 เป็นต้นมา ได้ตั้งกฎเกณฑ์ของสนามมาตรฐานขึ้นคือ ขนาดกว้าง 22 ฟุต ยาว 45 ฟุต (22 x 45) เป็นสนามขนาดมาตรฐานประเภทคู่ที่ใช้ในปัจจุบัน ตั้งแต่นั้นมาการปรับปรุงดัดแปลงในเรื่องอุปกรณการเล่นได้กระทำให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ประเทศในเอเซียอาคเนย์ที่มีการเล่นกีฬาแบดมินตันและได้รับความนิยมสูงสุดคือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทย นอกจากประเทศอังกฤษแล้วการเล่นที่น่าดูมีขึ้นที่ประเทศแคนาดาและเดนมาร์ก ด้วยเหตุผลที่ควรสนใจอย่างกว้างขวางทั่วโลกในกีฬาประเภทนี้ การแข่งขันระหว่างประเทศจึงได้จัดให้มีขึ้นในปี พ.ศ. 2445 และตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา จำนวนประเทศที่เข้าร่วมแข่งขันกีฬาแบดมินตันระหว่างประเทศมีมากว่า 31 ประเทศ

แบดมินตันได้กลายเป็นเกมกีฬาที่เล่นกันระหว่างชาติ โดยมีการยกทีมข้ามประเทศเพื่อแข็งขันระหว่างชาติในทวีปยุโรป ในปี พ.ศ. 2468 กลุ่มนักกีฬาของประเทศอังกฤษได้แข่งขันกับกลุ่มนักกีฬาประเทศแคนาดา ห้าปีหลังจากนั้นพบว่าประเทศแคนาดามีสโมสรสำหรับฝึกแบดมินตันมาตฐานแทบทุกเมือง

ในปี พ.ศ. 2477 สมาคมแบดมินตันของประเทศอังกฤษเป็นผู้นำในการก่อตั้งสหพันธ์แบดมินตันระหว่างประเทศ โดยมีชาติต่างๆ อีก 8 ชาติคือ แคนาดา เดนมาร์ก อังกฤษ ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สก๊อตแลนด์ และเวลล์ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงลอนดอน ปัจจุบันมีประเทศที่อยู่ในเครือสมาชิกกว่า 60 ประเทศที่ขึ้นต่อสหพันธ์แบดมินตันระหว่างประเทศ (I.B.F.) สหพันธ์มีบทบาทสำคัญในการกำหนดและควบคุมกติการะเบียบข้อบังคับต่างๆ ของการแข่งขันกีฬาแบดมินตันทั่วโลก

ในปี พ.ศ. 2482 Sir George Thomas นักแบดมินตันอาวุโสชาวอังกฤษเป็นผู้มอบถ้วยทองราคา 5,000 ปอนด์ เพื่อมอบเป็นรางวัลให้แก่ผู้ชนะเลิศประเภทชายในการแข่งขันแบดมินตันระหว่างประเทศ ซึ่งสหพันธ์แบดมินตันได้รับไว้และดำเนินการตามประสงค์นี้ แม้ว่าตามทางการจะเรียกว่า การแข่งขันชิงถ้วยชนะเลิศแบดมินตันระหว่างประเทศ แต่นิยมเรียกกันว่า โธมัสคัพ (Thomas Cup) การแข่งขันจะจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี โดยสหพันธ์ได้แบ่งเขตการแข่งขันของชาติสมาชิกออกเป็น 4 โซน คือ

1. โซนยุโรป 2. โซนอเมริกา 3. โซนเอเชีย 4. โซนออสเตรเลเซีย ( เดิมเรียกว่าโซนออสเตรเลีย )

วิธีการแข่งขันจะแข่งขันชิงชนะเลิศภายในแต่ละโซนขึ้นก่อน แล้วให้ผู้ชนะเลิศแต่ละโซนไปแข่งขันรอบอินเตอร์โซนเพื่อให้ผู้ชนะเลิศทั้ง 4 โซนไปแข่งขันชิงชนะเลิศกับทีมของชาติที่ครอบครองดถ้วยโธมัสคัพอยู่ ซึ่งได้รับเกียรติไม่ต้องแข่งขันในรอบแรกและรอบอินเตอร์โซน ชุดที่เข้าแข่งขันประกอบด้วยผู้เล่นอย่างน้อย 4 คน การที่จะชนะเลิศนั้นจะตัดสินโดยการรวมผลการแข่งขันของประเภทชายเดี่ยว 5 คุ่ และประเภทชายคู่ 4 คู่ รวม 9 คู่ และใช้เวลาการแข่งขัน 2 วัน การแข่งขันชิงถ้วยโธมัสคัพครั้งแรก จัดให้มีขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2491-2492

ต่อมาในการแข่งขันแบดมินตันโธมัสคัพ ครั้งที่ 8 ปีพ.ศ. 2512-2513 สหพันธ์ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการแข่งขันเล็กน้อย โดยให้ชาติที่ครอบครองถ้วยอยู่นั้นเข้าร่วมแข่งขันในรอบอินเตอร์โซนด้วย โดยวิธีการจับสลากแล้วแบ่งออกเป็น 2 สาย ผู้ชนะเลิศแต่ละสายจะได้เข้าแข่งขันชิงชนะเลิศโธมัสคัพรอบสุดท้ายต่อไปสาเหตุที่สหพันธ์เปลี่ยนแปลงการแข่งขันใหม่นี้ เนื่องจากมีบางประเทศที่ชนะเลิศได้ครอบครองถ้วยโธมัสคัพไม่รักษาเกียรติที่ได้รับจากสหพันธ์ไว้ โดยพยายามใช้ชั้นเชิงที่ไม่ขาวสะอาดรักษาถ้วยโธมัสคัพไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า สหพันธ์จึงต้องเปลี่ยนข้อบังคับให้ชาติที่ครอบครองถ้วยอยู่นั้นลงแข่งขันในรอบอินเตอร์โซนดังกล่าวด้วย

กีฬาแบดมินตันได้แพร่หลายขึ้น แม้กระทั่งในกลุ่มประเทศสังคมนิยมก็ได้มีการเล่นเบดมินตันอย่างกว้างขวางและมีการบรรจุแบดมินตันเข้าไว้ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ เซียพเกมส์ (ซีเกมส์ในปัจจุบัน) การแข่งขันกีฬาของประเทศในเครือจักภพสหราชอาณาจักร รวมทั้งการพิจารณาแบดมินตันเข้าสู่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ล้วนแต่เป็นเครื่องยืนยันว่า แบดมินตันได้กลายเป็นกีฬาสากลแล้วอย่างแท้จริง

ประวัติผู้ริเริ่มกีฬาแบดมินตัน

จอห์น ลอเรน บอลด์วิน ผู้ริเริ่มกีฬาแบดมินตันขึ้นเป็นครั้งแรกโดยจัดการเล่นที่ คฤหาสน์ แบดมินตัน (Badmintion House) ในปราสาทของท่านดยุค แห่งบิวฟอร์ด ในกลอสเตอร์ชาร์ ประเทศอังกฤษ บอลด์วินมีความคิดเมื่อใดไม่ปรากฏแน่ชัด แต่ว่ากันประมาณ 60 ปีกว่า ของคริสต์ศตวรรษที่แล้ว

บอลด์วิน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2352 ได้รับการศึกษาในมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เขาสนใจกีฬาคริกเกต และละครมาก เขามีความชำนาญในกีฬาหลายชนิด และได้ก่อตั้งสโมสรในกรุงลอนดอน (London) หลายแห่งจนได้ชื่อว่า "ราชาสโมสร" ได้มีนิตยสารฉบับหนึ่งชื่อ "แวนิตี้แฟร์" ได้กล่าวว่า "เป็นเวลากว่าครึ่งศตวรรษทีเดียวที่ชื่อเสียงของเขายิ่งใหญ่ในวงการสังคมสโมสร ซึ่งทุกคนเชื่อฟังโดยความเคารพ และเขาเก่งไม่มีใครเท่าเทียมได้ ในการสร้างข้อบังคับ และเป็นผู้ชี้ขาดเกี่ยวกับปัญหาทั่วไป และกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลต่างๆจากลักษณะดังกล่าวนี้ เราจะคิดไม่ได้หรือว่า เขาเป็นผู้วางกฎข้อบังคับกีฬาแบดมินตันขึ้นเป็นครั้งแรกสุดถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม"

แวนิตี้แฟร์ บอกให้ทราบว่า "เขาเป็นสหายคนสำคัญของท่านดยุคแห่งบิวฟอร์ด" ชีวิตในระยะหลังบอลด์วินได้ไปอาศัยอยู่ใกล้ๆกับวิหาร Tintern Abbey ห่างจากคฤหาสน์แบดมินตันไปทางตะวันตกประมาณ 32 กิโลเมตร เมื่ออยู่ที่นั่นเขาได้รับขนานนามว่า ท่านบิดาแห่งทินเทิน ขณะนั้นเขาแก่ลงมาก ความชราก็ไม่ได้ทำให้เขาลดหย่อนงานอันเป็นที่ยอมรับกันเลย
กฎและกติกาแบดมินตัน
1. สนามและอุปกรณ์สนาม
1.1 สนามจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าประกอบด้วยเส้นกว้างขนาด 40 มม. ตามภาพผัง ก.
1.2 เส้นทุกเส้นต้องเด่นชัด และควรทาด้วยสีขาวหรือสีเหลือง
1.3 เส้นทุกเส้นเป็นส่วนประกอบของพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้
1.4 เสาตาข่ายจะต้องสูง 1.55 เมตรจากพื้นสนาม และตั้งตรงเมื่อขึงตาข่ายให้ตึงตามที่ได้กำหนดไว้ในกติกาข้อ 1.10 โดยที่จะต้องไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดของเสายื่นเข้ามาในสนาม (เฉพาะรายการที่รับรองโดย IBF จะต้องใช้ระเบียบนี้ จนกระทั่ง 1 สิงหาคม 2547 ทุกรายการที่แข่งขันจะต้องยึดตามระเบียบนี้)
1.5 เสาตาข่ายจะต้องตั้งอยู่บนเส้นเขตข้างของประเภทคู่ตามที่ได้แสดงไว้ในภาพผัง ก. โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะเป็นประเภทเดี่ยวหรือเล่นคู่
1.6 ตาข่ายจะต้องถักด้วยเส้นด้ายสีเข้ม และมีขนาดตากว้างไม่น้อยกว่า 15 มม. และไม่เกิน 20 มม.
1.7 ตาข่ายต้องมีความกว้าง 760 มม. และความยาวอย่างน้อย 6.1 เมตร
1.8 ขอบบนของตาข่ายต้องมีแถบผ้าสีขาวพับสอง ขนาดกว้าง 75 มม. ทับบนเชือกหรือลวดที่ร้อยตลอดแถบผ้าขาว
1.9 เชือกหรือลวดต้องมีขนาดพอที่จะขึงให้ตึงเต็มที่กับหัวเสา
1.10 สุดขอบบนตาข่ายต้องสูงจากพื้นที่ตรงกึ่งกลางสนาม 1.524 เมตร และ 1.55 เมตร เหนือเส้นเขตข้างของประเภทคู่
1.11 ต้องไม่มีช่องว่างระหว่างสุดปลายตาข่ายกับเสา ถ้าจำเป็น ต้องผูกร้อยปลายตาข่ายทั้งหมดกับเสา
2. ลูกขนไก่
2.1 ลูกขนไก่อาจทำจากวัสดุธรรมชาติ และ/หรือ วัสดุสังเคราะห์ ไม่ว่าลูกนั้นจะทำจากวัสดุชนิดใดก็ตาม ลักษณะวิถีวิ่งทั่วไป จะต้องเหมือนกับลูกซึ่งทำจากขนธรรมชาติ ฐานเป็นหัวไม้ก๊อก หุ้มด้วยหนังบาง
2.2 ลูกขนไก่ต้องมีขน 16 อัน ปักอยู่บนฐาน
2.3 วัดจากปลายขนถึงปลายสุดของฐาน โดยความยาวของขนในแต่ละลูกจะเท่ากันหมด ระหว่าง 62 มม. ถึง 70 มม.
2.4 ปลายขนแผ่เป็นรูปวงกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 58 มม. ถึง 68 มม.
2.5 ขนต้องมัดให้แน่นด้วยเส้นด้ายหรือวัสดุอื่นที่เหมาะสม
2.6 ฐานของลูกต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 25 มม. ถึง 28 มม. และส่วนล่างมนกลม
2.7 ลูกขนไก่จะมีน้ำหนักตั้งแต่ 4.74 ถึง 5.50 กรัม
2.8 ลูกขนไก่ที่ไม่ใช้ขนธรรมชาติ
2.8.1 ใช้วัสดุสังเคราะห์แทนขนธรรมชาติ
2.8.2 ฐานลูก ดังที่ได้กำหนดไว้ในกติกาข้อ 2.6
2.8.3 ขนาดและน้ำหนักของลูกต้องเป็นไปตามที่ได้กำหนดไว้ในกติกาข้อ 2.3, 2.4 และ 2.7 อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างของความถ่วงจำเพาะ และคุณสมบัติของวัสดุสังเคราะห์โดยการเปรียบเทียบกับขนธรรมชาติ ยอมให้มีความแตกต่างได้ถึง 10%
2.9 เนื่องจากมิได้กำหนดความแตกต่างในเรื่องลักษณะทั่วไป ความเร็วและวิถีวิ่งของลูกอาจมีการเปลี่ยนแปลง คุณลักษณะดังกล่าวข้างต้นได้โดยการอนุมัติ จาก องค์กรแห่งชาติที่เกี่ยวข้องในที่ซึ่งสภาพความกดอากาศสูงหรือสภาพดินฟ้าอากาศ เป็นเหตุให้ลูกขนไก่ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ไม่เหมาะสม
3. การทดสอบความเร็วของลูก
3.1 การทดสอบ ให้ยืนหลังเส้นเขตหลังแล้วตีลูกใต้มืออย่างสุดแรง โดยจุดสัมผัสลูกอยู่เหนือเส้นเขตหลัง ลูกจะพุ่งเป็นมุมสูง และอยู่ในแนวขนานกับเส้นเขตข้าง
3.2 ลูกที่มีความเร็วถูกต้อง จะตกห่างจากเส้นเขตหลังของอีกด้านหนึ่งไม่น้อยกว่า 530 มม. และไม่มากกว่า 990 มม. (ภาพผัง ข.)
4.1.1 ด้านจับ เป็นส่วนของแร๊กเกตที่ผู้เล่นใช้จับ
4.1.2 พื้นที่ขึงเอ็น เป็นส่วนของแร็กเกตที่ผู้เล่นใช้ตีลูก
4.1.3 หัว บริเวณที่ใช้ขึงเอ็น
4.1.4 ก้าน ต่อจากด้ามจับถึงหัว (ขึ้นอยู่กับกติกาข้อ 4.1.5)
4.1.5 คอ (ถ้ามี) ต่อก้านกับขอบหัวตอนล่าง
4.2 พื้นที่ขึงเอ็น
4.2.1 พื้นที่ขึงเอ็นต้องแบนราบ ด้วยการร้อยเอ็นเส้นขวางขัดกับเส้นยืนแบบการขึงเอ็นทั่วไป โดยพื้นที่ตอนกลาง ไม่ควรทึบน้อยกว่าตอนอื่น ๆ และ
4.2.2 4.2.2 พื้นที่ขึงเอ็นต้องยาวทั้งหมดไม่เกิน 280 มม. และกว้างทั้งหมดไม่เกิน 220 มม. อย่างไรก็ตามอาจขึงไปถึงคอเฟรม หากความกว้างที่เพิ่มของพื้นที่ขึงเอ็นนั้นไม่เกิน 35 มม. และความยาวทั้งหมดของพื้นที่ขึงเอ็นต้องไม่เกิน 330 มม.
4.3 แร๊กเกต
4.3.1 ต้องปราศจากวัตถุอื่นติดอยู่ หรือยื่นออกมา ยกเว้นจากส่วนที่ทำเพื่อจำกัดและป้องกันการสึกหรอ ชำรุดเสียหาย การสั่นสะเทือน การกระจายน้ำหนัก หรือการพันด้ามจับให้กระชับมือผู้เล่น และมีความเหมาะสมทั้งขนาดและการติดตั้งสำหรับวัตถุประสงค์ดังกล่าว และ
4.3.2 ต้องปราศจากสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ ที่ช่วยให้ผู้เล่นเปลี่ยนรูปทรงของแร็กเกต
5. การยอมรับอุปกรณ์
สหพันธ์แบดมินตันนานาชาติ จะกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับปัญหาของแร็กเกต ลูกขนไก่ หรืออุปกรณ์ต้นแบบ ซึ่งใช้ในการเล่นแบดมินตันให้เป็นไปตามข้อกำหนดต่าง ๆ กฏเกณฑ์ดังกล่าวอาจเป็นการริเริ่มของสหพันธ์เองหรือจากการยื่นความจำนงของคณะบุคคล ที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องอย่างแท้จริงกับผู้เล่น ผู้ผลิต หรือองค์กรแห่งชาติหรือสมาชิกขององค์กรนั้น ๆ
6. การเสี่ยง
6.1 ก่อนเริ่มเล่น จะต้องทำการเสียง ฝ่ายที่ชนะการเสียง มีสิทธิ์เลือกตามกติกาข้อ 6.1.1 หรือ 6.1.2
6.1.1 ส่งลูกหรือรับลูกก่อน
6.1.2 เริ่มเล่นจากสนามข้างใดข้างหนึ่ง
6.2 ฝ่ายที่แพ้การเสี่ยง มีสิทธิ์ที่เหลือจากการเลือก
7. ระบบการนับคะแนน
7.1 แมทช์หนึ่งต้องชนะให้ได้มากที่สุดใน 3 เกม เว้นแต่จะได้กำหนดเป็นอย่างอื่น
7.2ในประเภทชายคู่และประเภทชายเดี่ยว ฝ่ายที่ได้ 15 คะแนนก่อนเป็นฝ่ายชนะในเกมนั้น ยกเว้นตามที่ได้กำหนดไว้ในกติกาข้อ 7.5
7.3 ในประเภทหญิงเดี่ยว หญิงคู่ คู่ผสม ฝ่ายที่ได้ 11 คะแนนก่อนเป็นฝ่ายชนะในเกมนั้น ยกเว้นตามที่ได้กำหนดไว้ในกติกาข้อ 7.5
7.4 ฝ่ายส่งลูกเท่านั้น เป็นฝ่ายได้คะแนน (ดูกติกาข้อ 10.3 หรือ 11.5)
7.5 ถ้าได้ 14 คะแนนเท่ากัน (10 คะแนนเท่ากันในประเภทหญิงเดี่ยว หญิงคู่ คู่ผสม) ฝ่ายที่ได้ 14 (10) คะแนนก่อน มีสิทธิ์เลือกในกติกาข้อ 7.5.1 หรือ 7.5.2:-
7.5.1 ต่อเกมนั้นถึง 15 (11) คะแนน กล่าวคือ “ไม่เล่นต่อ” ในเกมนั้น หรือ
7.5.2 7.5.2 “เล่นต่อ” เกมนั้นถึง 17 (13) คะแนน
7.6 ฝ่ายชนะ เป็นฝ่ายส่งลูกก่อนในเกมต่อไป
8. การเปลี่ยนข้าง
8.1 ผู้เล่นจะเปลี่ยนข้าง:-
8.1.1 หลังจากจบเกมที่ 1
8.1.2 ก่อนเริ่มเล่นเกมที่ 3 (ถ้ามี) และ
8.1.3 ในเกมที่ 3 หรือในการแข่งขันเกมเดียว เมื่อคะแนนนำถึง
- 6 คะแนน สำหรับเกม 11 คะแนน
- 8 คะแนน สำหรับเกม 15 คะแนน
8.2 ถ้าผู้เล่นลืมเปลี่ยนข้างตามที่ได้ระบุไว้ในกติกาข้อ 8.1 ผู้เล่นต้องเปลี่ยนข้างทันทีที่รู้ตัวและลูกไม่อยู่ในการเล่น และให้นับนับคะแนนต่อจากคะแนนที่ได้ในขณะนั้น
9.การส่งลูก
9.1 ในการส่งลูกที่ถูกต้อง
9.1.1 ทั้งสองฝ่ายต้องไม่ประวิงเวลาให้เกิดความล่าช้าในการส่งลูกทันทีที่ผู้ส่งลูก และผู้รับลูกอยู่ในท่าพร้อมแล้ว
9.12 ผู้ส่งลูกและผู้รับลูก ต้องยืนในสนามส่งลูกทะแยงมุมตรงข้ามโดยเท้าไม่เหยียบเส้นเขตของสนามส่งลูก
9.13 บางส่วนของเท้าทั้งสองของผู้ส่งลูกและผู้รับลูก ต้องแตะพื้นสนามในท่านิ่งตั้งแต่เริ่มส่งลูก (กติกาข้อ 9.4) จนกระทั่งส่งลูกแล้ว (กติกาข้อ 9.5)
9.14 จุดสัมผัสแรกของแร็กเกตผู้ส่งต้องตีที่ฐานของลูก
9.15 ทุกส่วนของลูกจะต้องอยู่ต่ำกว่าเอวของผู้ส่ง ขณะที่แร็กเกตสัมผัสลูก
9.16 ก้านแร็กเกตของผู้ส่งลูกในขณะตีลูก ต้องชี้ลงต่ำจนเห็นได้ชัดว่า ส่วนหัวทั้งหมดของแร็กเกตอยู่ต่ำกว่าทุกส่วนของมือที่จับแร็กเกตของผู้ส่งลูก ตามภาพผัง ง.
9.17 การเคลื่อนแร็กเกตของผู้ส่งลูกไปข้างหน้า ต้องต่อเนื่องจากการเริ่มส่งลูก (กติกาข้อ 9.4) จนกระทั่งได้ส่งลูกแล้ว และ
9.18 วิถีลูกจะพุ่งขึ้นจากแร็กเกตของผู้ส่งลูกข้ามตาข่าย และถ้าปราศจากการสะกัดกั้น ลูกจะตกลงบนพื้นสนามส่งลูกของผู้รับลูก (กล่าวคือ บนหรือภายในเส้นเขต)
9.2 ถ้าการส่งลูกไม่ถูกต้อง ตามกติกาของข้อ 9.1.1 ถึง 9.1.8 ถือว่าฝ่ายทำผิด “เสีย” (กติกาข้อ 13)
9.3 ถือว่า “เสีย” ถ้าผู้ส่งลูกพยายามจะส่งลูก โดยตีไม่ถูกลูก
9.4 เมื่อผู้เล่นอยู่ในท่าพร้อมแล้ว การเคลื่อนแร็กเกตไปข้างหน้าของผู้ส่งลูกถือว่า เริ่มส่งลูก
9.5 ถือว่าได้ส่งลูกแล้ว (กติกาข้อ 9.4) ถ้าแร็กเกตของผู้ส่งสัมผัสลูกหรือพยายามจะส่งลูกแต่ตีไม่ถูกลูก
9.6 ผู้ส่งลูกจะส่งลูกไม่ได้ถ้าผู้รับลูกยังไม่พร้อม แต่ถือว่าผู้รับลูกพร้อมแล้วถ้าพยายามตีลูกที่ส่งมากลับไป
9.7 ในประเภทคู่ คู่ขาจะยืน ณ ที่ใดก็ได้ โดยไม่บังผู้ส่งลูกและผู้รับลูก
10. ประเภทเดี่ยว
10.1 สนามส่งลูกและรับลูก
10.1.1 ผู้เล่นจะส่งลูกและรับลูกในสนามส่งลูกด้านขวา เมื่อผู้ส่งลูกทำคะแนนไม่ได้ หรือคะแนนที่ได้เป็นเลขคู่ในเกมนั้น
10.1.2 ผู้เล่นจะส่งลูกและรับลูกในสนามส่งลูกด้านซ้าย เมื่อผู้ส่งลูกได้คะแนนเป็นเลขคี่ในเกมนั้น
10.2 ผู้ส่งลูกและรับลูกจะตีโต้ลูกจนกว่าจะเกิด “เสีย” หรือลูกไม่อยู่ในการเล่น
10.3 คะแนนและการส่งลูก
10.3.1 ถ้าผู้รับทำ “เสีย” หรือลูกไม่อยู่ในการเล่นเพราะตกลงบนพื้นสนามของผู้รับ ผู้ส่งลูกได้คะแนน ผู้ส่งจะได้ส่งลูกต่อไปในสนามส่งอีกด้านหนึ่ง
10.3.2 ถ้าผู้ส่งทำ “เสีย” หรือลูกไม่อยู่ในการเล่นเพราะตกลงบนพื้นสนามของผู้ส่ง ผู้ส่งหมดสิทธิ์การส่งลูก และผู้รับก็จะได้เป็นผู้ส่งลูก โดยผู้เล่นทั้งสองฝ่ายไม่ได้คะแนน
11.ประเภทคู่
11.1 เมื่อเริ่มเล่นแต่ละครั้ง ฝ่ายที่ได้สิทธิ์ส่ง ต้องเริ่มส่งจากสนามส่งลูกด้านขวา
11.2 ผู้รับลูกเท่านั้นเป็นผู้ตีลูกกลับไป ถ้าลูกถูกตัว หรือคู่ขาของผู้รับตีลูก ถือว่า “เสีย” ผู้ส่งลูกได้ 1 คะแนน
11.3 ลำดับการเล่นและตำแหน่งยืนในสนาม
11.3.1 หลังจากได้รับลูกที่ส่งมาแล้ว ผู้เล่นของฝ่ายส่งคนหนึ่งคนใดตีลูกกลับไป และผู้เล่นคนหนึ่งคนใดของฝ่ายรับโต้ลูกกลับมา เป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่า ลูกไม่อยู่ในการเล่น
11.3.2 หลังจากได้รับลูกที่ส่งมาแล้ว ผู้เล่นคนหนึ่งคนใดจะตีโต้ลูกจากที่ใดก็ได้ภายในสนามของตนโดยมีตาข่ายกั้น
11.4 สนามส่งลูกและรับลูก
11.4.1 ผู้เล่นมีสิทธิ์ส่งตอนเริ่มต้นของแต่ละเกม จะส่งหรือรับลูกในสนามส่งด้านขวา เมื่อผู้เล่นฝ่ายนั้นไม่ได้คะแนน หรือคะแนนในเกมนั้นเป็นเลขคู่ และในสนามส่งลูกด้านซ้ายเมื่อคะแนนในเกมนั้นเป็นเลขคี่
11.4.2 ผู้เล่นที่เป็นผู้รับตอนเริ่มต้นของแต่ละเกม จะรับหรือส่งลูกในสนามส่งลูกด้านขวา เมื่อผู้เล่นฝ่ายนั้นไม่ได้คะแนน หรือคะแนนในเกมนั้นเป็นเลขคู่ และในสนามส่งลูกด้านซ้าย เมื่อคะแนนในเกมนั้นเป็นเลขคี่
11.4.3 ให้คู่ขาของผู้เล่นปฏิบัติในทางกลับกัน
11.5 คะแนนและการส่งลูก
11.5.1 ถ้าฝ่ายรับทำ “เสีย” หรือลูกไม่อยู่ในการเล่น เพราะลูกตกลงบนพื้นสนามของฝ่ายรับ ฝ่ายส่งได้ 1 คะแนน และผู้ส่งยังคงได้ส่งลูกต่ออีก
11.5.2 ถ้าฝ่ายส่งทำ “เสีย” หรือลูกไม่อยู่ในการเล่น เพราะลูกตกลงบนพื้นสนามของฝ่ายส่ง ผู้ส่งหมดสิทธิ์ส่งลูก โดยผู้เล่นทั้งสองฝ่ายไม่ได้คะแนน
11.6 การส่งลูกทุกครั้ง ต้องส่งจากสนามส่งลูก สลับกันไป ยกเว้นตามที่ได้กำหนดไว้ในกติกาข้อ 12 และ ข้อ 14
11.7 ในการเริ่มต้นเกมใดก็ตาม ผู้มีสิทธิ์ส่งลูกคนแรก ส่งลูกจากสนามด้านขวาไปยังผู้รับลูกคนแรกและจากนั้นไปยังคู่ขาของผู้รับตามลำดับไป จนกระทั่งเสียสิทธิ์และเปลี่ยนส่งไปให้ฝ่ายตรงข้ามที่จะต้องเริ่มส่งจากสนามด้านขวา (กติกาข้อ 11.4) จากนั้นจะให้คู่ขาส่ง จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป
11.8 ห้ามผู้เล่นส่งลูกก่อนถึงเวลาที่ตนเป็นผู้ส่ง หรือรับลูกก่อนถึงเวลาที่ตนเป็นผู้รับ หรือรับลูกติดต่อกันสองครั้งในเกมเดียวกัน ยกเว้นตามที่ได้กำหนดไว้ในกติกาข้อ 12 และ 14
11.9 ผู้เล่นคนหนึ่งคนใดของฝ่ายชนะ จะเป็นผู้ส่งลูกก่อนในเกมต่อไปก็ได้ และผู้เล่นคนหนึ่งคนใดของฝ่ายแพ้จะเป็นผู้รับลูกก่อนก็ได้
12. ความผิดในสนามส่งลูก
12.1 ความผิดในสนามส่งลูกเกิดขึ้นเมื่อผู้เล่น
12.1.1 ส่งลูกก่อนถึงเวลาที่ตนเป็นผู้ส่ง
12.1.2 ส่งลูกจากสนามส่งลูกที่ผิด หรือ
12.1.3 ยืนผิดสนามและได้เตรียมพร้อมที่จะรับลูกที่ส่งมา
12.2 ถ้าพบความผิดในสนามส่งลูกก่อนส่งลูกครั้งต่อไป
12.2.1 หากฝ่ายหนึ่งทำผิดและชนะในการตีโต้ ให้ “เอาใหม่”
12.2.2 หากฝ่ายหนึ่งทำผิดและแพ้ในการตีโต้ ไม่มีการแก้ไขความผิด
12.2.3 หากทั้งสองฝ่ายทำความผิดด้วยกัน ให้ “เอาใหม่”
12.3 ถ้ามีการ “เอาใหม่” เพราะความผิดในสนามส่งลูก ให้เล่นใหม่พร้อมกับแก้ไข
12.4 ถ้าพบความผิดในสนามส่งลูกหลังจากได้ส่งลูกครั้งต่อไปแล้ว จะไม่มีการแก้ไขความผิดนั้น ให้เล่นต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนสนามส่งลูกใหม่ของผู้เล่น (หรือให้เปลี่ยนลำดับใหม่ของการส่งลูกในกรณีเดียวกัน)
13. การทำเสีย
ถือว่า "เสีย"
13.1 ถ้าการส่งลูกไม่ถูกต้อง (กติกาข้อ 9.1) หรือตามกติกาข้อ 9.3 หรือ 11.2
13.2 ถ้าในขณะเล่น ลูกขนไก
13.2.1 ตกลงบนพื้นนอกเส้นเขตสนาม (กล่าวคือ ไม่อยู่บนหรือภายในเส้นเขตสนาม)
13.2.2 ลอดผ่านหรือลอดใต้ตาข่าย
13.2.3 ไม่ข้ามตาข่าย
13.2.4 ถูกเพดาน หรือ ฝาผนัง
13.2.5 ถูกตัวผู้เล่น หรือเครื่องแต่งกายผู้เล่น
13.2.6 ถูกวัตถุหรือตัวบุคคลภายนอกที่อยู่ใกล้เคียงล้อมรอบสนาม (ในกรณีที่มีความจำเป็นเกี่ยวกับโครงสร้างของตัวอาคารผู้มีอำนาจเกี่ยวกับ
แบดมินตันท้องถิ่น อาจวางกฎเพิ่มเติมเกี่ยวกับลูกถูกสิ่งกีดขวางได้ ทั้งนี้ ย่อมแล้วแต่สิทธิความเห็นชอบของภาคีสมาชิก)
13.3 ถ้าในระหว่างการเล่น ผู้เล่นตีลูกก่อนที่ลูกข้ามตาข่ายมาในเขตสนามของตัวเอง (อย่างไรก็ดี ผู้ตีอาจใช้แร็กเกตตามลูกข้ามตาข่ายในระหว่างตีลูก)
13.4 ถ้าลูกอยู่ในระหว่างการเล่น ผู้เล่น
13.4.1 ถูกตาข่ายหรืออุปกรณ์ที่ขึง ด้วยแร็กเกต ด้วยตัว หรือด้วยเครื่องแต่งกาย
13.4.2 ล้ำบนตาข่ายเข้าไปในเขตสนามของคู่ต่อสู้ ด้วยแร็กเกต ด้วยตัว ยกเว้นตามที่ได้รับอนุญาตไว้ในกติกาข้อ 13.3
13.4.3 ล้ำใต้ตาข่ายเข้าไปในเขตสนามของคู่ต่อสู้ด้วยแร็กเกต หรือด้วยตัว จนเป็นการกีดขวางหรือทำลายสมาธิคู่ต่อสู้
13.4.4 กีดขวางคู่ต่อสู้ กล่าวคือ กันไม่ให้คู่ต่อสู้ตีลูกที่ข้ามตาข่ายมาอย่างถูกต้องตามกติกา
13.5 ถ้าในระหว่างการเล่น ผู้เล่นคนหนึ่งคนใดจงใจทำลายสมาธิคู่ต่อสู้ด้วยการกระทำต่าง ๆ เช่น ร้องตะโกนหรือแสดงท่าทาง
13.6 ถ้าระหว่างการเล่น ลูกขนไก
13.6.1 ติดอยู่ในแร็กเกต แล้วถูกเหวี่ยงออกไปในระหว่างตีลูก
13.6.2 ถูกตีสองครั้งติดต่อกัน โดยผู้เล่นคนเดียวกัน
13.6.3 ถูกตีโดยผู้เล่นคนหนึ่ง และคู่ขาของผู้เล่นคนนั้นติดต่อกัน หรือ
13.6.4 ถูกแร็กเกตของผู้เล่นคนหนึ่ง แล้วลอยไปทางท้ายสนามด้านหลังของผู้เล่นคนนั้น
13.7 ถ้าผู้เล่นทำผิดอย่างโจ่งแจ้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือผิดพลาดอยู่ตลอด ตามกติกาข้อ 16
13.8 ถ้าหลังจากส่งลูกแล้วลูกไปติดและค้างอยู่บนตาข่าย หรือลูกข้ามตาข่ายแล้วติดค้างอยู่ในตาข่าย
14. การ "เอาใหม่"
14.1
การ “เอาใหม่” จะขานโดยกรรมการผู้ตัดสิน หรือ โดยผู้เล่น (ถ้าไม่มีกรรมการผู้ตัดสิน) ขานให้หยุดเล่น
14.1.1 ให้ "เอาใหม่" ถ้าผู้ส่งลูก ส่งลูกโดยที่ผู้รับลูกยังไม่พร้อม (ดูกติกาข้อ 9.6)
14.1.2
ให้ "เอาใหม"” ถ้าในระหว่างการส่งลูก ผู้รับและผู้ส่งลูกทำ “เสีย” พร้อมกันทั้งสองฝ่ายในเวลาเดียวกัน
14.1.3
ให้ "เอาใหม" ถ้าลูกไปติดและค้างอยู่บนตาข่าย หรือลูกข้ามตาข่ายแล้วติดค้างอยู่ในตาข่ายยกเว้นในการส่งลูก
14.1.4
ให้ "เอาใหม่" ถ้าในระหว่างการเล่น ลูกขนไก่แตกแยกออกเป็นส่วน ๆ และฐานแยกออกจากส่วนที่เหลือของลูกโดยสิ้นเชิง
14.1.5
ให้ "เอาใหม" ถ้ากรรมการกำกับเส้นมองไม่เห็น และกรรมการผู้ตัดสินไม่สามารถตัดสินใจได้
14.1.6
การ “เอาใหม่” สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจากความผิดในสนามส่งลูก ตามที่ระบุในกติกาข้อ 12.2.1 หรือ 12.2.3 หรือ
14.1.7
ให้ “เอาใหม่” สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมาก่อน หรือโดยเหตุบังเอิญ
14.2
เมื่อมีการ “เอาใหม่” การเล่นหลังจากการส่งลูกครั้งสุดท้ายถือเป็นโมฆะ และผู้เล่นที่ส่งลูกจะได้ส่งลูกอีกครั้งหนึ่ง ยกเว้นหากเป็นไปตามกติกาข้อ 12
15. ลูกไม่อยู่ในการเล่น
ลูกไม่อยู่ในการเล่น เมื่อ
15.1 ลูกชนตาข่ายแล้วติดอยู่ที่ตาข่าย หรือค้างอยู่บนขอบตาข่าย
15.2 ลูกชนตาข่ายหรือเสาตาข่ายแล้วตกลงบนพื้นสนามในด้านของผู้ตีลูก
15.3 ลูกถูกพื้นสนาม หรือ
15.4 เกิดการ “เสีย” หรือการ "เอาใหม่"
16. การเล่นต่อเนื่อง, การทำผิด, การลงโทษ
16.1 การเล่นต้องต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มส่งลูกครั้งแรกจนสิ้นสุดการแข่งขัน ยกเว้นตามที่ได้อนุญาตไว้ในกติกาข้อ 16.2 และ 16.3
16.2 พักระหว่างการจบเกมที่ 1 และเริ่มเกมที่ 2 ได้ไม่เกิน 90 วินาที และไม่เกิน 5 นาที ระหว่างจบเกมที่ 2 และเริ่มเกมที่ 3 อนุญาตสำหรับทุกแมทช์ของการแข่งขัน (ในการแข่งขันที่มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ กรรมการผู้ชี้ขาดอาจตัดสินใจก่อนเริ่มการแข่งขันว่า การพักตามกติกาข้อ 16.2 อยู่ในอาณัติและเวลากำหนด)
16.3 พักการเล่น
เมื่อมีความจำเป็นจากสภาพแวดล้อมที่มิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เล่น กรรมการผู้ตัดสินอาจสั่งให้พักการเล่นชั่วคราวตามที่พิจารณาเห็นว่าจำเป็น
ภายใต้สภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ผิดปกติ กรรมการผู้ชี้ขาดอาจแนะนำให้กรรมการผู้ตัดสินพักการเล่น
16.3.1 เมื่อมีความจำเป็นจากสภาพแวดล้อมที่มิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เล่น กรรมการผู้ตัดสินอาจสั่งให้พักการเล่นชั่วคราวตามที่พิจารณาเห็นว่าจำเป็น
16.3.2 ภายใต้สภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่ผิดปกติ กรรมการผู้ชี้ขาดอาจแนะนำให้กรรมการผู้ตัดสินพักการเล่น
16.3.3 ถ้ามีการพักการเล่น คะแนนที่ได้จะอยู่คงเดิม และจะเริ่มใหม่จากคะแนนนั้น
16.4 การถ่วงเวลาการเล่น
16.4.1 ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น ห้ามถ่วงเวลาการเล่นเพื่อให้ผู้เล่นฟื้นคืนกำลัง หรือหายเหนื่อย
16.4.2 กรรมการผู้ตัดสินจะวินิจฉัยความล่าช้าแต่เพียงผู้เดียว
16.5 คำแนะนำและการออกนอกสนาม
16.5.1 ห้ามผู้เล่นรับคำแนะนำระหว่างการแข่งขัน ยกเว้นการพักตามกติกาข้อ 16.2 และ 16.3
16.5.2 ห้ามผู้เล่นเดินออกนอกสนามระหว่างการแข่งขันโดยมิได้รับอนุญาตจากกรรม
การผู้ตัดสิน ยกเว้นระหว่างพัก 5 นาที ตามที่ได้กำหนดไว้ในกติกาข้อ 16.2
16.6 ผู้เล่นต้องไม่
จงใจถ่วงเวลา หรือพักการเล่น
จงใจแปลงหรือทำลายลูกเพื่อเปลี่ยนความเร็วและวิถี
แสดงกิริยาก้าวร้าว หรือ
กระทำผิดนอกเหนือกติกา
16.7 กรรมการผู้ตัดสินจะต้องดำเนินการกับความผิดตามกติกาข้อ 16.4, 16.5 หรือ 16.6 โดย
16.7.1 เตือนผู้กระทำผิด
16.7.2 ตัดสิทธิ์ผู้กระทำผิดหลังจากได้เตือนก่อนแล้ว
16.7.3 ในกรณีผิดอย่างเห็นได้ชัด หรือผิดอยู่ตลอด ให้ตัดสิทธิ์ผู้กระทำผิด แล้วรายงานให้กรรมการผู้ชี้ขาดทราบทันที ซึ่งกรรมการผู้ชี้ขาดมีอำนาจสั่งให้ผู้กระทำผิดออกจากการแข่งขัน
17. กรรมการสนามและการอุทธรณ์
17.1 กรรมการผู้ชี้ขาดเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการแข่งขันทั้งหมด
17.2 หากมีการแต่งตั้ง กรรมการผู้ตัดสิน ให้มีหน้าที่ควบคุมการแข่งขัน สนาม และบริเวณโดยรอบสนามแข่งขัน กรรมการผู้ตัดสินต้องรายงานต่อกรรมการผู้ชี้ขาด 17.3 กรรมการกำกับการส่งลูกเป็นผู้ขาน “เสีย” สำหรับการส่งลูกที่ผู้ส่งลูกเป็นผู้กระทำผิด (กติกาข้อ 9)
17.4 กรรมการกำกับเส้นเป็นผู้ให้สัญญาณ “ดี” หรือ “ออก” ในเส้นเขตที่ได้รับมอบหมาย
17.5 การตัดสินใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทั้งหมดของกรรมการสนามที่รับผิดชอบถือว่าสิ้นสุด
17.6 กรรมการผู้ตัดสินจะต้อง
17.6.1 ควบคุมการแข่งขันให้ดำเนินไปภายใต้กฏกติกาอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาน “เสีย” หรือ “เอาใหม่” เมื่อมีกรณีเกิดขึ้น
17.6.2 ตัดสินคำอุทธรณ์เกี่ยวกับการโต้แย้ง ซึ่งมีขึ้นก่อนการส่งลูกครั้งต่อไป
17.6.3 แน่ใจว่า ผู้เล่นและผู้ชมได้ทราบถึงความคืบหน้าของการแข่งขัน
17.6.4 แต่งตั้งหรือถอดถอนกรรมการกำกับเส้น หรือกรรมการกำกับการส่งลูก หลังจากได้ปรึกษากับกรรมการผู้ชี้ขาดแล้ว
17.6.5 หากไม่มีการแต่งตั้งกรรมการสนามอื่น จะต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นให้เรียบร้อย
17.6.6 หากกรรมการสนามที่ได้รับการแต่งตั้งมองไม่เห็น ต้องดำเนินการในหน้าที่ของกรรมการนั้น หรือให้ "เอาใหม่"
17.6.7 บันทึกและรายงานต่อกรรมการผู้ชี้ขาดทุกเรื่องที่เกี่ยวกับกติกาข้อ 16 และ
17.6.8 เสนอคำอุทธรณ์ที่ไม่พึงพอใจในปัญหาเกี่ยวกับกติกาต่อกรรมการผู้ชี้ขาด (คำอุทธรณ์ดังกล่าว จะต้องเสนอก่อนการส่งลูกครั้งต่อไป หรือเมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลงก่อนที่ฝ่ายอุทธรณ์จะเดินออกจากสนาม)



การเมือง

การเมือง


การเมือง คือ กระบวนการและวิธีการ ที่จะนำไปสู่การตัดสินใจของกลุ่มคน คำนี้มักจะถูกนำไปประยุกต์ใช้กับรัฐบาล แต่กิจกรรมทางการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วไปในทุกกลุ่มคนที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งรวมไปถึงใน บรรษัท, แวดวงวิชาการ และในวงการศาสนา

ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ นักทฤษฎีการเมืองคนหนึ่ง ได้นิยามการเมืองว่า เป็นการตัดสินว่า "ใครจะได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร"

วิชารัฐศาสตร์ คือ วิชาที่ศึกษาพฤติกรรมทางการเมือง และวิเคราะห์การได้มาซึ่งอำนาจและการนำอำนาจไปใช้ ซึ่งหมายถึง ความสามารถที่จะบังคับให้ผู้อื่นกระทำตามสิ่งที่ตนตั้งใจ


แนวความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการเมือง

เราอาจเคยสงสัยและตั้งคำถามว่า เหตุใดมนุษย์จึงต้องปกครองกัน ทำไมไม่ปล่อยให้มนุษย์อยู่กันเอง กระทั่งอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า การเมืองกับการปกครองเป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งหลายคนจำเพาะในกลุ่มผู้ที่ขาดความสนใจต่อความเป็นมาเป็นมาในกิจการทางการเมืองอาจฟังดูไม่กระจ่างนัก ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวประการใด

คำตอบต่อความสงสัยข้อแรกนั้นโยงใยไปถึงความข้อต่อมากล่าวคือ มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกัน หากมิได้กำหนดกติกาอะไรสักอย่างขึ้นมากำกับการอยู่รวมกันของมนุษย์แล้วนั้น มนุษย์ด้วยกันเองยังเชื่อว่าน่าจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในสังคมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เนื่องจากโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ป่าเถื่อน ขลาดกลัวและไม่เป็นระเบียบดังที่ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1588-1679 ได้เคยกล่าวไว้ในผลงานปรัชญาการเมืองเลื่องชื่อเรื่อง “Leviathan” ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1651 ว่า เมื่อมนุษย์จำต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมภายใต้กติกาแล้ว ก็จำเป็นอยู่ในตัวเองที่จะต้องกำหนดตัวผู้นำมาทำหน้าที่ควบคุมดูแลให้สังคมหรือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย เช่นที่กล่าวมาเราคงพอจะทราบบ้างแล้วว่าเหตุใดจึงเกิดมีระบบการปกครองขึ้น และโดยนัยที่มนุษย์จำต้องปกครองกันนั้น หากเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือการจะทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นไป หลีกเลี่ยงมิได้เสียที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางการเมือง อันมีความหมายและบริบทที่สะท้อนออกมาในเรื่องของการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน การเมืองการปกครองซึ่งเป็นสภาพการณ์และผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (Eulau 1963, 3) จึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ใดก็ตาม จำเป็นต้องให้ความสนใจกับเรื่องการเมืองการปกครองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เนื่องจากสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (Developmental Program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นเรื่องภาคราชการทั้งหลายต่างรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ภายใต้ความมุ่งประสงค์ที่จะหยั่งรากประชาธิปไตยในสังคมไทย และหากได้มองย้อนไปถึงแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองโบราณเช่น อริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์” ผู้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ตามธรรมชาติเป็นสัตว์การเมืองต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือชุมชน อันแตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่น ๆ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก หากแต่มนุษย์ นอกจากจะอยู่ด้วยสัญชาตญาณแล้ว ยังมีเป้าหมายอยู่ร่วมกันอีกด้วย ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์จึงมิใช่มีชีวิตอยู่ไปเพียงวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นการอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย เราก็จะมองเห็นภาพของการเมืองในแง่หนึ่งว่าการเมืองนั้นก็คือ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในชุมชนหรือสังคมเพื่อให้มีความสงบสุข



ความหมายของการเมือง




ในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ มุมมองที่ใช้พิจารณาการเมืองหรือพูดเป็นศัพท์ทางวิชาการก็คือแนวการศึกษาวิเคราะห์การเมือง (Approach to Political Analysis) ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ใครจะเห็นว่าแนวการมองการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงต่อการอธิบายความเป็นการเมืองได้มากที่สุด โดยคำว่า “การเมือง” นี้ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด ตามแต่จะใช้ตัวแบบใดในการศึกษาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมือง และด้วยตัวแบบที่เป็นกรอบในการศึกษาวิเคราะห์นี้ จะยังผลให้กรอบการมองคำว่าการเมืองต่างกันไป ในขณะที่สาระสำคัญของคำจำกัดความเป็นไปในทำนองเดียวกันกล่าวคือเป็นเรื่องของการใช้อำนาจแบบสองทางระหว่างฝ่ายที่เป็นผู้ปกครอง (Rulers) และฝ่ายผู้ถูกปกครอง (Ruled) ดังจะได้ยกมากล่าวถึง ซึ่งสำหรับผู้ศึกษารัฐศาสตร์มือใหม่แล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่าการเมืองนั้น จึงดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนอยู่มิใช่น้อย เนื่องมาจากความหมายของการเมืองที่ปรากฏอยู่ในตำราเล่มต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นเผยแพร่นั้นมีอยู่หลากหลายต่างกันไปตามความเจตนารมณ์และมุ่งประสงค์ในการนำความหมายของการเมืองเพื่อไปอธิบายปรากฏการณ์ของผู้ให้คำนิยามความหมายของการเมือง ดังได้กล่าวไปแล้ว

คำจำกัดความของการเมืองที่ชัดเจนและรัดกุมมากที่สุดโดยนัยที่ได้กล่าวไปนี้ พิจารณาได้จากทัศนะของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2517, 61) ที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปของรัฐและการจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในรัฐระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง โดยเมื่อสังคมมนุษย์ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาล คนเราจึงต้องแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่บังคับกับผู้ถูกบังคับเสมอ
.....ผู้เรียบเรียงได้รวบรวมและประมวลคำนิยามหรือความหมายของคำว่าการเมือง มานำเสนอโดยจำแนกได้เป็น 6 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรก การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ โดยเป็นการต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและอิทธิพลในการบริหารกิจการบ้านเมือง โดยคำนิยามของการเมืองในเชิงอำนาจที่น่าสนใจอันหนึ่ง ที่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนมากได้แก่นิยามของ เพนนอคและสมิธ (Pennock and Smith 1964, 9) ที่กล่าวว่า การเมือง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบันและองค์กรในสังคม ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเด็ดขาดครอบคลุมสังคมนั้น ในการสถาปนาและทำนุรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม มีอำนาจในการทำให้จุดประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคมได้บังเกิดผลขึ้นมา และมีอำนาจในการประนีประนอมความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคม

อีกหนึ่งคำนิยามการเมืองที่ถือได้ว่าครอบคลุมและช่วยให้เห็นภาพความเกี่ยวพันของการเมืองกับบุคคลในสังคมได้แก่ ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2539, 3) ที่กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ช่วงชิง การรักษาไว้และการใช้อำนาจทางการเมือง โดยที่อำนาจทางการเมืองหมายถึง อำนาจในการที่จะวางนโยบายในการบริหารประเทศหรือสังคม อำนาจที่จะแต่งตั้งบุคคลเพื่อช่วยในการนำนโยบายไปปฏิบัติ และ อำนาจที่จะใช้ข้าราชการ งบประมาณหรือเครื่องมืออื่น ๆ ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ แนวการมองการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ (Power Approach) ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปนี้ เป็นแนวทางการศึกษาหนึ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบในหมู่นักรัฐศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ทั่วไป ที่เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องหรือมีบริบทเกี่ยวกับการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน ก็มักให้คำนิยามของการเมืองว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ในเชิงการใช้อำนาจของรัฐาธิปัตย์ ต่อผู้อยู่ใต้อำนาจซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง โดยคำนิยามเช่นนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (development program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ จึงล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อนักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นความรู้หนึ่งที่ประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยสมควรสั่งสมให้แก่พลเมืองของรัฐ เพื่อประโยชน์เป็นพื้นฐานของการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

นักรัฐศาสตร์บางท่านมองว่า แท้จริงนั้น การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องการต่อสู่แย่งชิงกันของกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ ในอันที่จะแย่งชิงกันเข้าสู่อำนาจการบริหารประเทศ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้ผลผลิตจากระบบการเมือง (Political Outputs-ผลผลิตของระบบการเมือง เป็นคำศัพท์เทคนิคทางรัฐศาสตร์ตามทัศนะของอีสตัน (David Easton) นักรัฐศาสตร์อเมริกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของแนวคิดทฤษฎีการเมืองเชิงระบบ (the Systems Theory) อันได้แก่ นโยบาย กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ โครงการหรือแผนงานพัฒนาของภาครัฐและภาคราชการ ซึ่งผลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของตนมากที่สุด เราเรียกการวิเคราะห์การเมืองแนวทางนี้ว่าเป็น การวิเคราะห์เชิงกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งดูไปก็เป็นส่วนสำคัญหนึ่งของแนวการมองการเมืองเชิงอำนาจที่จะกล่าวถึงต่อไป ความหมายของการเมืองในมุมมองนี้ จึงเป็นว่า การเมืองการเมืองคือการที่บุคคลใดหรือกลุ่มใดในสังคม ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ร่วมกัน หรือขัดกันก็ตาม หรือมีความเห็นเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ตาม มาทำการต่อสู้เพื่อสรรหาบุคคลมาทำหน้าที่ในการปกครองและเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะให้เขาสามารถตัดสินใจในเรื่องของส่วนรวมได้โดยชอบธรรม ซึ่งจัดเป็นแนวที่นักรัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Scientist) นิยมกัน

กลุ่มที่สอง มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรของรัฐหรือสิ่งที่มีคุณค่าทางสังคม ดังเช่นมุมมองของอีสตัน (David Easton) ซึ่งได้อธิบายไว้ว่า การเมือง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้กับสังคมอย่างชอบธรรม (The authoritative allocation of values to society) ความหมายของการเมืองดังที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นนิยามที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากสำนักพหุนิยม (Pluralism) อย่างไรก็ดี ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2535, 4-5) อธิบายว่า เราจะใช้ความหมายการเมืองดังกล่าวนี้ได้ก็ต่อเมื่อ ในสังคมนั้น ๆ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความเห็นพ้องต้องกันและยอมรับในกติกาที่กำหนดการใช้อำนาจเพื่อแบ่งปันสิ่งที่มีคุณค่าเท่านั้น ส่วนในสังคมที่ยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับกติกาการกำหนดสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม ชัยอนันต์ อธิบายว่า การเมืองยังคงเป็นเรื่องของการแข่งขันกันเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการแบ่งปันคุณค่าที่ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ หรือ “The competition for the authority to determine the authoritative allocation of
values to society” โดยนัยเช่นนี้ การเมืองจึงมีสองระดับ ระดับแรก การเมืองอยู่ภายใต้การแข่งขัน ขัดแย้งของฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองที่ทุก ๆ ฝ่ายยอมรับได้ ในขณะที่การเมืองในความหมายอย่างแรกดังทัศนะของนักคิดกลุ่มพหุนิยมที่ได้กล่าวไปแล้ว ดูจะยอมรับในจุดเน้นว่ารัฐ เป็นการรวมกันหรือประกอบกันของกลุ่มหลากหลายในสังคม และรัฐมิได้เป็นเครื่องมือทางการบริหาร โดยที่มิได้เป็นตัวกระทำทางการเมือง (actors) ที่จะชี้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่รัฐเป็นเพียงรัฐบาล (State as government) ที่ทำหน้าที่เพียงเอื้ออำนวยความสะดวกในการแข่งขันกันของกลุ่มหลากหลายเท่านั้น (ชัยอนันต์ สมุทวณิช 2535, 6)
นอกจากนี้ คำนิยามการเมืองในกลุ่มที่สอง ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างสูงยังได้แก่ ทัศนะของลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ที่กล่าวว่า การเมือง เป็นเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลและผู้มีอิทธิพล และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับว่า ใคร ทำอะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is, who gets “What”, “When” and “How”)

กลุ่มที่สาม มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรของชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ผู้คนซึ่งต้องการใช้ทรัพยากรนั้นมีอยู่มากและความต้องการใช้ไม่มีขีดจำกัด การเมืองจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่คนในสังคมไม่อาจตกลงกันได้หรือเกิดมีความขัดแย้งขึ้น อย่างไรก็ดี การมองการเมืองในลักษณะนี้มีข้อโต้แย้งอยู่มากว่า หากไม่อาจยุติข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ บ้านเมืองย่อมตกอยู่ในสภาวะยุ่งยากวุ่นวาย ต่อมาจึงมีผู้ให้มุมมองการเมืองใหม่ว่าเป็นเรื่องของการประนีประนอมความขัดแย้งมากว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้ง

กลุ่มที่สี่ มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการประนีประนอมผลประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความขัดแย้งจากการดำเนินงานทางการเมืองที่ไม่มีทางออก

กลุ่มที่ห้า ถือว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐและการบริหารประเทศในกิจกรรมหลัก 3 ด้านคือ งานที่เกี่ยวกับรัฐ การบริหารประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย และการอำนวยการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งเป็นการควบคุมให้มีการดำเนินงานตามนโยบาย ซึ่งหากพิจารณาให้ละเอียดแล้ว การเมืองโดยนัยยะความหมายประการนี้ เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับการเมืองในความหมายเชิงอำนาจ ซึ่งก็เป็นเพราะอำนาจทางการเมืองนั้น ได้ถูกนำไปใช้ผ่านกระบวนการนโยบายและการแต่งตั้งคัดสรรผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ (ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ในรูปของอำนาจและการปฏิบัติงานทางการปกครอง และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและการบริหารหรือการปกครองที่ยากจะแยกออกจากกันได้

กลุ่มที่หก การเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายของรัฐ กล่าวคือ การเมืองคือกิจกรรมใดใดที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย หน่วยงานและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการกำหนดนโยบาย โดยนัยหนึ่ง การเมืองก็คือกระบวนการกำหนดนโยบายของรัฐ นั่นเอง








แฮมทาโร่ แก๋งจิ๋วผจญภัย

แฮมทาโร่ แก๊งจิ๋วผจญภัย (ญี่ปุ่น: とっとこハム太郎 Tottoko Hamutarō ?) เป็น การ์ตูนญี่ปุ่น ที่วาดโดย ริสึโกะ คาวาอิ นักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น เรื่องราวเกี่ยวกับความน่ารักของเหล่าแฮมสเตอร์หลากหลายตัว โดยมีแฮมทาโร่เป็นตัวชูโรง ต่อมาได้สร้างเป็นอะนิเมะ ออกฉายในประเทศญี่ปุ่น และอีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

ที่มาและความสำเร็จของแฮมทาโร่

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1997 คาซึฮิโกะ คุโรคาวะ ผู้เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการของนิตยสารโชงะคุนิเน็งเซ (小学二年生) ในสมัยนั้น ได้เสนอความคิดว่า น่าจะเอาแฮมสเตอร์ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มาเป็นตัวเอกการ์ตูนบ้าง ประจวบกับที่ตัวผู้แต่ง ริสึโกะ คาวาอิ เองก็เลี้ยงแฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว การ์ตูนที่มีตัวเอกเป็นแฮมสเตอร์อย่างเรื่อง แฮมทาโร่ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา

จากนั้นในปี ค.ศ. 2000 แฮมทาโร่ก็ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์อะนิเมะ ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 18.30 น. (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น) ทางสถานีทีวีโตเกียว โดยหลังจากที่ออกฉายก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในหมู่ผู้ชม ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ซึ่งจากความนิยมอย่างล้นหลามในญี่ปุ่นนี้เอง แฮมทาโร่จึงได้ออกอากาศในหลายๆประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังสร้างเป็นภาพยนตร์จอเงิน OVA และเกมอีกหลากหลายภาค ส่งผลให้แฮมทาโร่กลายเป็นตัวการ์ตูนยอดฮิตอีกตัวหนึ่งที่โด่งดังมากไม่แพ้ โดราเอมอน หรือ โปเกมอน เลย


ตัวละคร


บ้านฮารุนะ
......แฮมทาโร่ (ชื่อญี่ปุ่น:ハム太郎, ฮามุทาโร่ / ชื่ออังกฤษ:Hamtaro) เพศผู้ เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ราศีกรกฎ แฮมสเตอร์ตัวน้อยที่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นๆเป็นอย่างดี มีนิสัยร่าเริง และมักจะมองโลกในแง่ดีเสมอ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นฮีโร่ในดวงใจของแฮมสเตอร์ทุกตัว ชอบริบบ้อนจัง และตัวริบบ้อนจังเองก็ชอบเขาด้วยเหมือนกัน (CV:คุรุมิ มามิยะ)
......ฮารุนะ ฮิโรโกะ หรือ โรโกะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:春名ヒロ子 / ชื่ออังกฤษ:Laura Haruna)
เจ้าของแฮมทาโร่ เรียนอยู่ชั้น ป.5 เป็นเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใส มีจิตใจอ่อนโยน แอบชอบคิมูระคุงอยู่ แต่โรแบร์โต้ก็ทำให้จิตใจของเธอหวั่นไหวอยู่เหมือนกัน สูง153ซม.หนัก37กก. (CV:ฮารุนะ อิเคซาวะ)
......ฮารุนะ ฮิโรมิ (ชื่อญี่ปุ่น:春名ヒロミ / ชื่ออังกฤษ:Marian Haruna)
แม่ของโรโกะจัง เป็นนักจัดดอกไม้ สูง178ซม.หนัก39กก. (CV:เร ซาคุมะ)
......ฮารุนะ ยูเมะทาโร่ (ชื่อญี่ปุ่น:春名ユメ太郎 / ชื่ออังกฤษ:Forrest Haruna)
พ่อของโรโกะจัง เป็นบรรณาธิการนิตยสาร (CV:ฮิโรชิ อิโซเบะ)
......ดอนจัง (ชื่อญี่ปุ่น:どんちゃん / ชื่ออังกฤษ:Brandy)
สุนัขที่บ้านโรโกะจังเลี้ยงไว้ ชื่อเต็มๆว่า แบรนดอน มีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ชอบนอนกลางวันเป็นงานอดิเรก เป็นเพื่อนที่ดีของพวกแฮมทาโร่ เคยช่วยพวกแฮมทาโร่ให้รอดพ้นจากอันตรายมาหลายครั้งหลายครา (CV:ริคาโกะ ไอคาวะ)

บ้านอิวาตะ
......โคชิ หรือโคชิคุง (ชื่อญี่ปุ่น:こうしくん / ชื่ออังกฤษ:Oxnard) เพศผู้ เกิดวันที่ 3 พฤษภาคม ราศีเมษ สูง 10 ซม.
......แฮมสเตอร์ลายวัว (ชื่อโคชิ มาจาก โคะอุชิ ที่แปลว่าลูกวัว) ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ขี้อาย ชอบกินอยู่ตลอดเวลา จึงมักจะถือเมล็ดทานตะวันติดตัวเอาไว้เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม (CV:ริคาโกะ ไอคาวะ)
......อิวาตะ คานะ หรือ คานะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:岩田カナ, อิวะตะ คะนะ)
เจ้าของโคชิคุง เป็นเพื่อนสนิทกับโรโกะจัง เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ๆกัน แถมยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันอีกด้วย คานะจังมีนิสัยอ่อนโยน รักแฮมสเตอร์ และชอบวาดภาพมาก สูง150ซม.หนัก42กก. (CV:ไอ อุจิคาวะ)
......แพนด้า หรือแพนด้าคุง (ชื่อญี่ปุ่น:パンダくん / ชื่ออังกฤษ:Panda) เพศผู้ เกิดวันที่ 8 เมษายน ราศีมีน สูง 8.8 ซม. มีลายขาว-ดำ เหมือนกับหมีแพนด้า ชอบสร้างและประดิษฐ์สิ่งของมาก เป็นเหมือนวิศวกรประจำกลุ่มแฮมแฮม อนาคตฝันอยากเป็นช่างไม้ (CV:ยูโกะ ไซโต้)
......อิวาตะ โมโมะ หรือโมโมะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:岩田モモ / ชื่ออังกฤษ:Mimi)
เจ้าของแพนด้าคุง เรียนอยู่ชั้นอนุบาล เป็นญาติกับคานะจัง สูง130ซม.หนัก14กก. (CV:ยูโกะ ซาซาโมโตะ)
......อิวาตะ ทาเคโซ (ชื่อญี่ปุ่น:岩田竹蔵)
พ่อของโมโมะจัง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของคานะจัง และเป็นประธานบริษัทก่อสร้าง มีนิสัยดื้อ หัวรั้น แต่ก็ขี้แยเป็นบางครั้ง (CV:จูโรตะ โคสุงิ)
จ๊ะจ๋าแฮม หรือจ๊ะจ๋าแฮมจัง (ชื่อญี่ปุ่น:じゃじゃハムちゃん / ชื่ออังกฤษ:Pepper) เพศเมีย เกิดวันที่ 1 มกราคม ราศีธนู
แฮมสเตอร์อารมณ์ดีที่อาศัยอยู่ที่ฟาร์มฟลาเวอร์ เป็นแฟนสาวของโคชิคุง (CV:โมโตโกะ คุมาอิ)
......ไดสุเกะ (ชื่อญี่ปุ่น:ダイスケ)
ญาติของคานะจัง เป็นผู้ดูแลจ๊ะจ๋าแฮมจังและเหล่าสัตว์ที่ฟาร์มฟลาเวอร์ (CV:เรียวทาโร่ โอคิอายุ)

บ้านโอฮาระ
......ลาปิสหรือลาปิสจัง(ชื่อญี่ปุ่น:ラピスちゃん / ชื่ออังกฤษ:Lapis) เพศเมีย เกิดวันที่ 9 กรกฎาคม ราศีเมถุน สูง 7.5 ซม. พี่สาวของลาซูรี่จัง อาศัยอยู่ที่บ้านจิวเวลรี่เฮ้าส์ ชอบของสวยๆ งามๆ ที่ส่องเป็นประกาย เช่น พวกอัญมณี เป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดและจริงจังกับชีวิต แต่ก็มักจะใจอ่อนให้กับน้องสาวเสมอ (CV:ซาเอโกะ จิบะ)
......ลาซูรี่ หรือลาซูรี่จัง (ชื่อญี่ปุ่น:ラズリーちゃん / ชื่ออังกฤษ:Lazuli) เพศเมีย เกิดวันที่ 7 กันยายน ราศีสิงห์ น้องสาวของลาปิสจัง เป็นผู้ที่สร้างดินแดนขนมหวาน "สวีทพาราไดซ์" ขึ้นมา มักจะตั้งใจค้นคว้าและทำขนมหวานที่มีอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์ออกมาอยู่เสมอ มีความสนิทสนมกับสนูซเซอร์คุงเป็นอย่างมาก (CV:อาคาเนะ โอมาเอะ)
......โอฮาระ มากิ หรือมากิจัง (ชื่อญี่ปุ่น:大原マキ, โอฮะระ มะกิ)
เด็กสาวมาดทอมบอยที่ย้ายโรงเรียนมา เป็นเจ้าของลาพิสจังกับลาซูลี่จัง เรียนอยู่ห้องเดียวกับโรโกะจังและคานะจัง เนื่องจากที่บ้านเป็นคณะละครสัตว์เคลื่อนที่ เลยมีสัตว์เลี้ยงอยู่มากมายหลายชนิด แถมยังเคยเดินทางไปแสดงมาแล้วทั่วโลก จึงสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว (CV:ฟุมิโกะ โอริคาสะ)
......โอฮาระ คาซึยะ (ชื่อญี่ปุ่น:大原カズヤ)
พี่ชายของมากิจัง เป็นคนที่คานะจังแอบชอบอยู่ (CV:ยูกิมาสะ โอบิ)
......คุณปู่ของมากิจัง (マキちゃんのおじいちゃん, มะกิจัง โนะ โอะจีจัง)
ในอดีตเคยท่องเที่ยวไปทั่วโลก และได้ช่วยเหลือ พร้อมกับพา ลาพิสจัง กับ ลาซูลี่จัง แฮมสเตอร์ 2 พี่น้อง มาอาศัยอยู่ด้วย มีความสนิทสนมกับคุณหมอไลอ้อนมาตั้งแต่สมัยก่อน และสามารถเข้าใจความรู้สึกของสัตว์ได้เหมือนกับคุณหมอไลอ้อน (CV:จุนเป ทากิงุจิ)
......คุมะจิโร่ (ชื่อญี่ปุ่น:クマ次郎)
ลูกหมีที่มากิจังเลี้ยงไว้
กลุ่มแฮมแฮม
......หัวหน้า (ชื่อญี่ปุ่น:タイショーくん, ไทโชคุง / ชื่ออังกฤษ:Boss) เพศผู้ เกิดวันที่ 21 กันยายน ราศีกันย์ สูง 12 ซม. เป็นแฮมสเตอร์จรจัด หัวหน้ากลุ่มแฮมแฮม แม้ดูจากภายนอกแล้วหน้าตาจะดุเอาเรื่อง แถมยังนิสัยขี้โมโห และพร้อมมีเรื่องอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆแล้วก็เป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่แสนใจดีของทุกคน แอบ (?) ชอบริบบ้อนจังอยู่ เป็นเพื่อนสนิทกับกลุ่มโอโตเมะซู (CV:เคนทาโร่ อิโต้)
......ริบบ้อน หรือริบบ้อนจัง (ชื่อญี่ปุ่น:リボンちゃん / ชื่ออังกฤษ:Bijou) เพศเมีย เกิดวันที่ 10 กรกฎาคม ราศีเมถุน สูง 7.5 ซม. เจ้าของชื่อมาเรีย แฮมสเตอร์ของมาเรียจัง เป็นสาวน้อยที่กลับมาจากประเทศฝรั่งเศส ยังไม่ค่อยรู้จักโลกกว้างเท่าใดนัก เพราะได้รับการเลี้ยงดูมาแบบคุณหนู แม้บางครั้งจะมีนิสัยเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่ก็เป็นที่รักของทุกคน เป็นเพื่อนสนิทกับโอชาเระจัง (CV:คาซึสะ มุราอิ)
......แพช หรือแพชจัง (ชื่อญี่ปุ่น:マフラーちゃん, มาฟูร่าจัง / ชื่ออังกฤษ:Pashmina) เพศเมีย เกิดวันที่ 16 กันยายน ราศีสิงห์ สูง 7.3 ซม. แฮมสเตอร์ของจุนจัง แม้ภายนอกจะดูเรียบร้อย แต่จริงๆแล้วก็เข้มแข็งไม่เบา มักจะคอยดูแลจิบิมารุจังอยู่ตลอดเวลาเหมือนกับเป็นพี่สาวแท้ๆ จุดเด่นคือจะมีผ้าพันคอสีชมพูพันอยู่ที่คอเสมอ แพชจังรักและทะนุถนอมผ้าพันคอผืนนี้เป็นอย่างมาก เพราะจุนจัง เจ้านายของเธอเป็นผู้ถักให้ (CV:เร ซาคุมะ)
......จิบิ หรือจิบิมารุจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ちびまるちゃん / ชื่ออังกฤษ:Penelope) เพศเมีย เกิดวันที่ 3 มีนาคม ราศีกุมภ์ สูง 6.2 ซม. แฮมสเตอร์ของเคียวโกะจัง เนื่องจากเป็นเด็กอยู่ จึงพูดได้แต่คำว่า "อุกิ๊ว" ติดแพชจังมาก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องไปกับแพชจังเสมอ เพราะแพชจังสามารถแปลคำพูดได้ เป็นเพื่อนสนิทกับจิบิคุริจัง (CV:คาโอริ มาโทอิ)
......ไมโดะ หรือไมโดะคุง (ชื่อญี่ปุ่น:まいどくん / ชื่ออังกฤษ:Howdy) เพศผู้ เกิดวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ราศีกุมภ์ สูง 8.5 ซม. แฮมสเตอร์ของซาดาคิจิคุง เป็นแฮมสเตอร์อารมณ์ดีที่ชอบปล่อยมุขฮาๆ แบบคนแก่ แต่ไม่เคยมีใครขำเลย ชอบการทำความสะอาดและก็ชอบแพชจังด้วย เป็นแฟนกับฮานะจัง (CV:ยู สุงิโมโตะ)
......แว่นน้อย หรือแว่นน้อยคุง (ชื่อญี่ปุ่น:めがねくん, เมะงะเนะคุง / ชื่ออังกฤษ:Dexter) เพศผู้ เกิดวันที่ 11 ตุลาคม ราศีกันย์ สูง 8.7 ซม. แฮมสเตอร์ช่างพูดช่างคุย จุดเด่นคือลายกลมๆที่วนรอบดวงตาเหมือนกับเป็นแว่นตา (เมะงะเนะ แปลว่าแว่นตา) อาศัยอยู่กับคุณโจจิ เจ้าของร้านขายแว่นตา แอบชอบแพชจังอยู่ เป็นทั้งคู่หูและคู่กัดกับไมโดะคุง (CV:จิฮิโระ ซูซูกิ)
......พี่โย่ง (ชื่อญี่ปุ่น:のっぽくん, นปโปะคุง / ชื่ออังกฤษ:Maxwell) เพศผู้ เกิดวันที่ 5 พฤศจิกายน ราศีตุลย์ สูง 10.5 ซม. เป็นแฮมสเตอร์ที่มีรูปร่างสูง (นปโปะ แปลว่าคนตัวสูง) อาศัยอยู่กับยูเมะจัง ลูกสาวเจ้าของร้านหนังสือ ชอบอ่านหนังสือและมีความรู้รอบตัวเยอะมาก เป็นเหมือนสารานุกรมเคลื่อนที่ประจำกลุ่มแฮมแฮม แอบชอบโทร่าแฮมจังอยู่ (CV:ทาคาโกะ ฮอนดะ)
......โทระแฮม(ชายหรือโทระแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:トラハムくん / ชื่ออังกฤษ:Stan) เพศผู้ เกิดวันที่ 6 มิถุนายน ราศีพฤษภ สูง 7.5 ซม.
......แฮมสเตอร์ลายเสือ (โทร่า แปลว่าเสือ) ของคุณโนริโอะ เป็นพี่ชายฝาแฝดของโทระแฮมจัง มักจะพกมาราคัสไฟล์:มาราคัสติดตัวเสมอ มีนิสัยรักอิสระ ชอบร้องเพลง เต้นรำ และหลีสาวเป็นอย่างมาก หลงรักเนิร์สจังอย่างออกหน้าออกตา (CV:โคกิ มิยาตะ)
......โทระแฮม (หญิง) หรือโทระแฮมจัง (ชื่อญี่ปุ่น:トラハムちゃん / ชื่ออังกฤษ:Sandy) เพศเมีย เกิดวันที่ 6 มิถุนายน ราศีพฤษภ สูง 7.5 ซม.แฮมสเตอร์ลายเสือของคุณฮิคาริ เป็นน้องสาวฝาแฝดของโทระแฮมคุง (สังเกตความแตกต่างได้จากโบว์ที่หาง) มีนิสัยร่าเริง และชอบการเต้นยิมนาสติกลีลาใหม่เป็นที่สุด แม้หน้าตาจะเหมือนกับโทระแฮมคุงเปี๊ยบ แต่นิสัยต่างกันคนละเรื่องเลยทีเดียว (CV:ฮารุนะ อิเคซาวะ)
......สนูซเซอร์ หรือสนูซเซอร์คุง (ชื่อญี่ปุ่น:ねてるくん, เนะเตะรุคุง / ชื่ออังกฤษ:Snoozer) เพศผู้ เกิดวันที่ 14 มกราคม ราศีธนู สูง 8.5 ซม. ปกติจะเอาแต่นอนหลับอยู่ในถุงเท้าตลอดเวลา (เนะเตะรุ แปลว่า กำลังหลับ) แต่บางครั้งก็สามารถคิดหาไอเดียดีๆให้กับกลุ่มแฮมแฮมได้ ทั้งที่กำลังหลับอยู่ มีความสนิทสนมกับลาซูรี่จังเป็นอย่างมาก (CV:ยู สุงิโมโตะ)
......แค็ปปี้ หรือแค็ปปี้คุง (ชื่อญี่ปุ่น:かぶるくん, คะบุรุคุง / ชื่ออังกฤษ:Cappy) เพศผู้ เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ราศีกรกฏ สูง 7.7 ซม. แฮมสเตอร์ของคุณซาเอะและคุณยู มีนิสัยขี้อาย จุดเด่นคือจะสวมหมวกสีเขียวเอาไว้ตลอดเวลา แต่นอกจากหมวกแล้ว ไม่ว่าอะไรก็สามารถเอามาครอบหัวได้หมด เป็นเพื่อนสนิทกับติ๊ดติดคุง (คะบุรุ แปลว่าสวมหรือครอบหัว) (CV:ไอ อุจิคาวะ)
......จิงเกิ้ล หรือจิงเกิ้ลคุง (ชื่อญี่ปุ่น:トンガリくん, ทงงะริคุง / ชื่ออังกฤษ:Jingle) เพศผู้ เกิดวันที่ 12 ธันวาคม ราศีพิจิก สูง 8.5 ซม. แฮมสเตอร์อารมณ์สุนทรีย์ มีนิสัยเยือกเย็นและชอบพูดจาเป็นบทเป็นกลอน มักจะออกเดินทางร่อนเร่ไปตามที่ต่างๆกับทงคิชิ(หมู)เพื่อนคู่ใจ พร้อมกีตาร์คู่ชีพ (CV:ยู อาซาคาวะ)


ตัวละครอื่นๆ

แฮมสเตอร์
......ผู้เฒ่าแฮม (ชื่อญี่ปุ่น:長老ハム, โจโรฮามุ / ชื่ออังกฤษ:Elder Ham)
แฮมสเตอร์รุ่นอาวุโสที่มีอายุมากที่สุด ชอบเผลองีบหลับในเวลาที่กำลังพูด และมักจะหาเรื่องอำพวกแฮมสเตอร์รุ่นเด็กให้ตกใจเล่นอยู่เสมอ (CV:ทัตสึยูกิ อิชิโมริ)
......คุณย่าแฮม (ชื่อญี่ปุ่น:おハムばあさん, โอฮามุบาซัง / ชื่ออังกฤษ:Auntie Viv)
แม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็เป็นแฮมสเตอร์ที่อารมณ์ดี สุขภาพแข็งแรงและกระฉับกระเฉงจนดูไม่สมกับวัย รู้จักมักคุ้นกับผู้เฒ่าแฮมมาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน (CV:มาซาโกะ โนซาวะ)
......โอเอซิส หรือโอเอซิสคุง (ชื่อญี่ปุ่น:オアシスくん / ชื่ออังกฤษ:Omar) เพศผู้ มีใบหน้าคล้ายกับสนูซเซอร์คุง เติบโตมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง มักจะออกเดินทางไปรอบโลกพร้อมกับ คาเมะโซ เต่าคู่หู (CV:ฮิโรมิ อิชิคาวะ)
......ซาบุ หรือคุณซาบุ (ชื่อญี่ปุ่น:サブさん / ชื่ออังกฤษ:Sabu) เพศผู้ เกิดวันที่ 10 มีนาคม ราศีกุมภ์ แม้จะมีใบหน้าคล้ายพวกยากูซ่า แต่จริงๆแล้วเป็นแฮมสเตอร์ที่ใจดีและพึ่งพาได้ ทำอาชีพร้านรถเข็นแผงลอย (CV:โทโมฮิโระ นิชิมูระ)
......คุรุริน หรือคุรุรินจัง (ชื่อญี่ปุ่น:くるりんちゃん / ชื่ออังกฤษ:Sparkle) เพศเมีย เกิดวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ราศีมังกร เป็นแฮมสเตอร์ของคุรมิจัง ดาราไอดอลชื่อดัง จึงค่อนข้างหยิ่งและถือตัวเล็กน้อย แรกๆไม่ค่อยชอบพวกกลุ่มแฮมแฮมเท่าไหร่นัก แต่ภายหลังก็เริ่มชอบแฮมทาโร่ และพยายามหาทางทำให้แฮมทาโร่หันมาสนใจตนเองให้ได้ เวลาพูดมักจะใช้คำลงท้ายประโยคว่า "นะคะ" เสมอ (CV:มาซาโกะ โจ)
......ติ๊ดติด หรือติ๊ดติดคุง (ชื่อญี่ปุ่น:ぬけないくん, นุเคไนคุง/ ชื่ออังกฤษ:Stucky) เพศผู้ เกิดวันที่ 10 ตุลาคม ราศีกันย์ แฮมสเตอร์ที่ลำตัวติดอยู่ในท่อและไม่สามารถออกมาได้ เลยต้องไปไหนมาไหนพร้อมกับท่อ (นุเคไน แปลว่า ถอดไม่ออก) มีความสามารถในการเล่นซ่อนแอบมาก เป็นเพื่อนสนิทกับแค็ปปี้คุง (CV:ฟูจิโกะ ทากิโมโตะ)
......เมกาจิโร่ หรือเมกาจิโร่คุง (ชื่อญี่ปุ่น:メカじろう / ชื่ออังกฤษ:Robo Joe)
หุ่นยนต์แฮมสเตอร์ที่คุณปู่ของโรโกะจังเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น มีฟังค์ชั่นพิเศษ สามารถเรียนรู้และพูดภาษามนุษย์กับภาษาแฮมสเตอร์ได้ แต่กลุ่มแฮมแฮมไม่รู้ว่าเมกาจิโร่เป็นหุ่นยนต์ เลยมองว่าเขาเป็นแฮมสเตอร์ที่แปลกประหลาด
......เนิร์ส หรือเนิร์สจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ナースちゃん / ชื่ออังกฤษ:Flora) เพศเมีย เกิดวันที่ 9 กันยายน ราศีสิงห์
แฮมสเตอร์ของคุณหมอไลอ้อน ทำหน้าที่เป็นพยาบาลผู้ช่วยของคุณหมออยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์เคลื่อนที่ไลอ้อน มีจิตใจโอบอ้อมอารี และตั้งใจทำงานมาก ตามต้นฉบับเดิมแล้ว เนิร์สจังจะเป็นแฟนกับโทร่าแฮมคุง แต่ในภาคอะนิเมะได้มีการเปลี่ยนแปลงบทใหม่ (CV:ฮารุฮิ เทราดะ)
......นิจิแฮม หรือนิจิแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:にじハムくん / ชื่ออังกฤษ:Prince Bo) เพศผู้ เกิดวันที่ 24 กรกฎาคม ราศีกรกฎ
เจ้าชายแห่งอาณาจักรสายรุ้ง เป็นแฮมสเตอร์ที่บินได้เพราะมีปีกที่กลางหลังเหมือนกับแมลงเต่าทอง และสามารถสร้างสายรุ้งได้ด้วยร่มสายรุ้งที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลา (นิจิ แปลว่า สายรุ้ง) (CV:ฮิโรโกะ ทางุจิ)
......อุคิแฮม หรืออุคิแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:ウキハムくん / ชื่ออังกฤษ:Ook-Ook) เพศผู้
แฮมสเตอร์รูปร่างหน้าตาคล้ายลิงที่เติบโตมากับฝูงลิง จึงสามารถพูดได้แต่ภาษาลิง (อุคิ เป็นเสียงร้องของลิงในภาษาญี่ปุ่น) เป็นเพื่อนสนิทกับไทโฮคุง (CV:ริเอะ คุงิมิยะ)
......ไทโฮ หรือไทโฮคุง (ชื่อญี่ปุ่น:たいほくん / ชื่ออังกฤษ:Buster) เพศผู้
เป็นแฮมสเตอร์ที่แต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายตำรวจ และคอยช่วยดูแลรักษาความสงบเหมือนกับตำรวจ (ไทโฮ แปลว่า จับกุมตัว) เป็นเพื่อนสนิทกับอุคิแฮมคุง (CV:วาซาบิ มิซึตะ)
......คาเมะแฮม หรือคาเมะแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:カメハムくん / ชื่ออังกฤษ:Seamore) เพศผู้
เป็นแฮมสเตอร์ที่แบกกระดองเต่าไว้ที่หลัง (คาเมะ แปลว่า เต่า) มีความสามารถพิเศษแตกต่างจากแฮมสเตอร์ตัวอื่นๆ ตรงที่สามารถว่ายน้ำได้ แต่ไม่ถูกกับอากาศหนาว ปัจจุบันเหมือนจะเป็นแฟนกับโพนี่เทลจัง (CV:ยูจิ อุเอดะ)
......โพนี่เทล หรือโพนี่เทลจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ポニーテールちゃん / ชื่ออังกฤษ:Barette) เพศเมีย
เป็นแฮมสเตอร์ของอาจารย์สอนถักไหมพรม มีความสามารถในการถักไหมพรมมาก ปัจจุบันเหมือนจะเป็นแฟนกับคาเมะแฮมคุง (CV:จิเอมิ จิบะ)
[แก้] มนุษย์
......จุน หรือจุนจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ジュンちゃん / ชื่ออังกฤษ:June)
เจ้าของแพชจัง เป็นเพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจัง สนิทกับเคียวโกะจัง ถนัดด้านการถักไหมพรม (CV:คาโอริ มาโทอิ)
......เคียวโกะ หรือเคียวโกะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:キョウコちゃん / ชื่ออังกฤษ:Kylie)
เจ้าของจิบิมารุจัง เป็นเพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจัง สนิทกับจุนจัง ถนัดด้านการทำอาหาร (CV:โทโมโกะ อิชิมูระ)
......คิมูระ ไทจิ หรือคิมูระคุง (ชื่อญี่ปุ่น:木村太一 / ชื่ออังกฤษ:Travis)
เพื่อนร่วมชั้นที่โรโกะจังแอบชอบอยู่ สังกัดชมรมฟุตบอล เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หัวดี นิสัยอ่อนโยน ตัวสูง เล่นฟุตบอลเก่ง ป๊อปปูลาร์ในหมู่สาวๆมาก ภายหลังได้ย้ายไปอยู่ลอนดอนตามงานของพ่อ (CV:ยู อาซาคาวะ)
......มาเรีย หรือมาเรียจัง (ชื่อญี่ปุ่น:マリアちゃん)
เจ้าของริบบ้อนจัง เป็นคุณหนูในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ เล่นเปียโนเก่งมาก (CV:เมงุมิ โทโยงุจิ)
......คุริฮาระ คุรุมิ หรือคุรุมิจัง (ชื่อญี่ปุ่น:栗原くるみ, คุริฮะระ คุรุมิ / ชื่ออังกฤษ:Glitter)
เจ้าของคุรุรินจัง เรียนอยู่ชั้น ป.3 เป็นดาราไอดอลที่ถือตัวเล็กน้อย แอบชอบคิมูระคุงอยู่ เลยมองว่าโรโกะจังเป็นคู่แข่งที่จะมาแย่งคิมูระคุงกับตนเอง (CV:จินามิ นิชิมูระ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น โทโมเอะ ฮันบะ)
......โรแบร์โต้ ทาคางิ (ชื่อญี่ปุ่น:ロベルト高城 / ชื่ออังกฤษ:Roberto)
เพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจังที่กลับมาจากบราซิล สังกัดชมรมฟุตบอล เป็นคู่กัดกับโรโกะจัง เนื่องจากพออ้าปากพูดได้ไม่กี่คำ เป็นต้องทะเลาะกันทุกที ที่บ้านไม่มีแฮมสเตอร์ แต่เป็นเจ้าของสุนัขชื่อแซมบ้า (CV:ซาจิ มัตสึโมโตะ)
......ฮิคาริ หรือคุณฮิคาริ (ชื่อญี่ปุ่น:ヒカリさん, ฮิคะริซัง / ชื่ออังกฤษ:Hillary)
นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้เป็นเจ้าของโทระแฮมจัง เป็นนักกีฬายิมนาสติกลีลาใหม่ที่มีความสามารถมาก (CV:ยูโกะ คาโต้)
......โนริโอะ หรือคุณโนริโอะ (ชื่อญี่ปุ่น:ノリオさん, โนะริโอะซัง / ชื่ออังกฤษ:Noel)
เจ้าของโทระแฮมคุง เป็นผู้ฝึกสอนในฟิตเนสที่คุณฮิคาริไปออกกำลังกายเป็นประจำ แอบชอบคุณฮิคาริอยู่ แต่เป็นคนขี้อาย เลยไม่กล้าบอกรักสักที (CV:โนบุยูกิ ฮิยามะ)
......นานิวะ มิยาโกะ (ชื่อญี่ปุ่น:浪花 都)
เจ้าของร้านสะดวกซื้อ "นานิวะโชเต็น" แม่ของซาดาคิจิ เป็นแฟนตัวยงของทีมเบสบอลดัง ฮันชินไทเกอร์ส เวลาที่ทีมชนะเลิศการแข่งขันประจำลีกในฤดูกาล จะลดราคาสินค้าในร้านแบบสะบั้นหั่นแหลกเพื่อเป็นการฉลองชัย เป็นเพื่อนกับคุณโจจิมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน (CV:คาโอรุ โมโรตะ)
......นานิวะ ซาดาคิจิ หรือซาดาคิจิคุง (ชื่อญี่ปุ่น:浪花サダ吉)
ลูกชายของคุณมิยาโกะ เป็นเจ้าของไมโดะคุง เรียนอยู่ห้องเดียวกับยูเมะจัง เป็นแฟนตัวยงของทีมฮันชินไทเกอร์ส เหมือนกับแม่ ให้ความเคารพและนับถือคุณโจจิมาก (CV:จิยาโกะ ชิบาฮาระ)
......โจจิ หรือคุณโจจิ (ชื่อญี่ปุ่น:丈二さん, โจจิซัง)
เจ้าของร้านขายแว่นตา "มิลาโน" ผู้เป็นเจ้าของแว่นน้อย เป็นเพื่อนกับคุณมิยาโกะมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน (CV:คาซึฮิโระ ยามาจิ)
......ยูเมะ หรือยูเมะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ユメちゃん)
เจ้าของพี่โย่ง เป็นลูกสาวเจ้าของร้านหนังสือ เรียนอยู่ห้องเดียวกับซาดาคิจิคุง ชอบแต่งนิทานมาก (CV:ทาเอโกะ คาวาตะ)
......ซาเอะและยู หรือคุณซาเอะและคุณยู (ชื่อญี่ปุ่น:サエさん, ซะเอะซัง ; ユウさん, ยูซัง)
เจ้าของร้านขายของชำ ผู้เป็นเจ้าของแพนด้าคุง ทั้งคู่ให้ความเอ็นดูแพนด้าคุงเป็นอย่างดีเหมือนกับลูกแท้ๆ (CV:เฮียวเซ (คุณซาเอะ) , โทคุโยชิ คาวาชิมะ (คุณยู))
......คุณหมอไลอ้อน (ชื่อญี่ปุ่น:ライオン先生, ไรองเซ็นเซ)
เจ้าของเนิร์สจัง เป็นสัตวแพทย์ที่มีชื่อเสียง และเป็นเจ้าของโรงพยาบาลสัตว์เคลื่อนที่ไลอ้อนด้วย (CV:มาซาชิ เอบาระ)



สัตว์เลี้ยง
......แซมบ้า (ชื่อญี่ปุ่น:サンバ)
......สุนัขของโรแบร์โต้ (CV:เร ซาคุมะ)
......ลินลี่ (ชื่อญี่ปุ่น:リリィ)
......สุนัขของมาเรียจัง (CV:ฟุยุกะ โออุระ)







ทำความรู้จักแก๊งจิ๋วผจญภัย


ชื่อ :: โทระชาย
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 6 มิถุนายน
ราศี :: เมถุน
ความสูง :: 7.5 ซม.
เจ้าของ :: นาโอะ
พี่น้องฝาแฝดที่เสียสละของโทระหญิง โทระชาย ชอบวาดฝันไปเองว่าเขาเป็นหนุ่มแฮมสเตอร์ตามแบบฉบับละตินและมะละกาของเขา จะหาตัวเขาได้ที่ไหนน่ะเหรอ....ถ้าหากเขาไม่ออกกำลังกายที่ยิมหรือทำตัวเป็นคนดังอยู่ ก็จะพบเขากำลังจีบสาวๆอยู่


ชื่อ :: แว่นน้อย
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 11 ตุลาคม
ราศี :: ตุล
ความสูง :: 8.7 ซม.
เจ้าของ :: เจ้าของร้านขายแว่นตา
สุภาพบุรุษแฮมสเตอร์ผู้นี้จะแต่งกายดี และพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ


ชื่อ :: แกปปี้
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 6 สิงหาคม
ราศี :: สิงห์
ความสูง :: 7.7 ซม.
เจ้าของ :: ยูและซาเอะ
ด้วยความเขินและขี้อาย เขาชอบจะหาอะไรใหม่ๆมาสวม บนศรีษะอยู่เสมอและชอบที่จะลองสวมทุกสิ่ง แต่หมวกทรงกะทะคว่ำก็เป็นแบบที่ชอบที่สุด


ชื่อ :: จิงเกิ้ล
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 12 ธันวาคม
ราศี :: ธนู
ความสูง :: 8.5 ซม.
เจ้าของ :: ไม่มี
กวีตัวน้อยท่องเที่ยวไปทั่วด้วยกีต้าร์ เสียงเพลงและคำกลอน จิงเกิ้ลจะมาพร้อมกับเพลงที่ไม่ตรงจังหวะเสมอ เพื่อช่วยผ่อนคลายแก่ชาวแฮมแฮม


ชื่อ :: โคชิ
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 3 พฤษภาคม
ราศี :: พฤษ (วัว)
ความสูง :: 10 ซม.
เจ้าของ :: คานะ
โคชิ เป็นหนูแฮมสเตอร์ขี้อายและซื้อสัตย์ที่หิวอยู่เสมอ เขาจะเก็บเมล็ดทานตะวันไว้กับตัวเองตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจว่าอาหารมือ้ต่อไปจะอยู่แค่เอี้อม เขาจะมีของรับประทานตลอดเมื่อเขาต้องการ


ชื่อ :: แพช
เพศ :: หญิง
วันเกิด :: 16 กันยายน
ราศี :: กันย์ (หญิงสาว)
ความสูง :: 7.3 ซม.
เจ้าของ :: จูน
มีความรับผิดชอบและไว้ใจได้ แพชมีเพื่อนรักคือ จิบิ และเธอชอบทุกอย่างที่เข้าชุดกับผ้าพันคอสีชมพูที่เธอชอบใช้อยู่เสมอ


ชื่อ :: พี่โย่ง
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 5 พฤศิกายน
ราศี :: แมงป่อง (พิจิก)
ความสูง :: 10.5 ซม.
เจ้าของ :: ลูกชายคนโตของเจ้าของร้านขายหนังสือ
แฮมเตอร์หนอนหนังสือ ชาวแฮมแฮม จะไปหาเขาเมื่อต้องการความรู้ใหม่เกี่ยวกับโลกภายนอก


ชื่อ :: ไมโดะ
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 18 กุมภาพันธ์
ราศี :: กุมภ์ (คนโฑ)
ความสูง :: 8.5 ซม.
เจ้าของ :: เจ้าของร้านสะดวกซื้อ
แฮมผู้มีระเบียบ ขยันทำงาน เฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ทางด้านเงินทอง จะสวมผ้ากันเปื้อนของร้านอยู่เสมอ
เขาสามารถทำห้องให้สะอาดหมดจดในไม่กี่นาที และไม่พลาดที่จะให้ความสนุกสนานต่อผู้อื่นไปด้วย ไมโดะอาศัยอยู่ในร้านสะดวกซื้อนั่นเอง


ชื่อ :: แพนดา
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 8 เมษายน
ราศี :: เมษ (แกะ)
ความสูง :: 8.8 ซม.
เจ้าของ :: โมโม
เขามีความคิดสร้างสรรค์ อ่อนหวาน และกล้าได้กล้าเสีย จึงชอบเข้าร่วมการประมูลโครงการ เขาเป็นทั้งผู้สร้างและช่างฝีมือที่ง่วนอยู่กับแบบแปลนโครงสร้างของสิ่งต่างๆมากมาย เขาจะดูวุ่นวายอยู่กับการออกแบบแผนการสำหรับหลายๆสิ่ง และฝันว่าสักวันเขาจะเป็นช่างไม้


ชื่อ :: ริบบ้อน
เพศ :: หญิง
วันเกิด :: 10 กรกฏาคม
ราศี :: กรกฏ (ปู)
ความสูง :: 7.5 ซม.
เจ้าของ :: มาเรีย
ริบบ้อนมาจากฝรั่งเศส เธอสง่างามและชอบสนุกอยู่กับเพื่อนๆ รินบิ้นและเครื่องประดับของเธอ
ด้วยนิสัยน่ารัก งดงาม น่าทนุถนอม ทำให้เธอเป็นหวานใจของชาวแฮมแฮม


ชื่อ :: สนูซเซอร์
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 14 มกราคม
ราศี :: มังกร
ความสูง :: 8.5 ซม.
เจ้าของ :: ไม่มี
แม้ว่าเค้าจะนอนเกือบหลับอยู่เสมอ สนูซเซอร์ยังเป็นแฮมสเตอร์ที่พูดน้อยอีกด้วย แต่ในบางครั้งเขาจะตื่นขึ้นมาเพื่อให้คำปรึกษาแก่บรรดาแฮมสเตอร์เมื่อถึงยามจำเป็น


ชื่อ :: จิบิ
เพศ :: หญิง
วันเกิด :: 3 มีนาคม
ราศี :: มีน
ความสูง :: 6.2 ซม.
เจ้าของ :: เคียวโกะ


ชื่อ :: แฮมทาโร
เพศ :: ชาย
วันเกิด :: 6 สิงหาคม
ราศี :: สิงห์
ความสูง :: 8.6 ซม.
เจ้าของ :: โรโกะ
เขาเป็นหนูแฮมสเตอร์ที่ทั้งน่ารัก น่ากอด เป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของโรโกะ เด็กสาวชั้นประถม 5แฮมทาโรกระตือรือร้นที่จะแอบช่วยเหลือโรโกะอย่างเงียบๆ ด้วยความกล้าหาญและรักการผจญภัยของเขา ทำให้แฮมทาโรเป็นวีรบุรุษในดวงใจของแฮมสเตอร์ตัวอื่นๆ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เพลง Who'd Have Known



เพลง Who'd Have Known
It's 5 o' clock in the morning,
ตอนนี้เป็นเวลาตีห้า

Conversation got boring,
บทสนทนาเริ่มจะน่าเบื่อ
You said you're going to bed soon,
คุณบอกว่าคุณจะเข้านอนในเร็วๆนี้
So I snuck off to your bedroom,
ฉันจึงแอบเข้าไปในห้องนอนของคุณ
And I thought I'd just wait there,
และฉันคิดว่าฉันจะรออยู่ที่นั่น
Until I heard you come up the stairs,
จนกว่าฉันจะได้ยินเสียงฝีเท้าตอนคุณเดินขึ้นบันไดมา
And I pretended I was sleeping,
และฉันทำเป็นว่าฉันกำลังนอนหลับอยู่
And I was hoping you would creep in with me.
และฉันก็หวังว่าคุณจะค่อยๆคลานมาร่วมเตียงกับฉัน

You put your arm around my shoulder,
คุณโอบไหล่ฉันเอาไว้
It was as if the room got colder,
รู้สึกเหมือนว่าอุณหภูมิในห้องนี้เย็นลง
And we moved closer in together,
และเราสองคนก็ขยับเข้ามาชิดกันมากขึ้น
And started talking about the weather,
และเริ่มพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ
You said tomorrow would be fun,
คุณบอกว่าพรุ่งนี้น่าจะสนุก
And we could watch A Place In The Sun,
และเราสองคนสามารถนั่งดูหนังเรื่อง อะ เพลส อิน เดอะ ซัน
I didn't know where this was going,
ฉันไม่รู้ว่าเรื่องราวของเราสองคนจะไปถึงไหน
When you kissed me.
เวลาที่คุณจูบฉัน

Are you mine? Are you mine?
คุณเป็นของฉันหรือไม่? คุณเป็นของฉันหรือไม่?
Cos I stay here all the time,
เพราะตัวฉันเองอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
Watching telly, Drinking wine,
ดูโทรทัศน์ ดื่มไวน์
Who'd have known, Who'd have known,
ใครจะไปรู้ ใครจะไปรู้
When you flash up on my phone,
เมื่อใบหน้าของคุณปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของฉัน
I no longer feel alone,
ฉันไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป
No longer feel alone.
ไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป

I haven't left you for days now,
ฉันไม่ได้จากกับคุณเป็นเวลาหลายวันแล้ว
And I'm becoming amazed how,
และฉันเริ่มรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
You're quite affectionate in public,
คุณเป็นคนน่ารักเวลาอยู่ในที่สาธารณะ
In fact your friend said it made her feel sick,
อันที่จริงแล้ว เพื่อนของฉันบอกว่านั่นทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้
And even though it's moving forward,
และถึงแม้ว่ามันจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
There's just the right amount of awkward,
แต่มันก็ยังมีความเขินอายอยู่บ้าง
And today you accidentally,
และวันนี้ คุณก็เผลอ
Called me baby.
เรียกฉันว่า ที่รัก

Are you mine? Are you mine?
คุณเป็นของฉันหรือไม่? คุณเป็นของฉันหรือไม่?
Cos I stay here all the time,
เพราะตัวฉันเองอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
Watching telly, Drinking wine,
ดูโทรทัศน์ ดื่มไวน์
Who'd have known, Who'd have known,
ใครจะไปรู้ ใครจะไปรู้
When you flash up on my phone,
เมื่อใบหน้าของคุณปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของฉัน
I no longer feel alone,
ฉันไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป

Let's just stay, Let's just stay,
เราอยู่ด้วยกันเถอะ เราอยู่ด้วยกันเถอะ
I wanna lie in bed all day,
ฉันอยากนอนเฉยๆอยู่บนเตียงทั้งวัน
We'll be laughing all the way,
เราจะได้หัวเราะตลอดเวลา
You told your friends,
คุณบอกเพื่อนๆของคุณ
They all know,
พวกเขาทุกคนรู้กันหมด
That we exist but we're taking it slow,
ว่าเรายังอยู่ด้วยกัน เพียงแต่เราค่อยๆศึกษาดูใจกันไปเรื่อยๆ
Let's just see how we go,
มาดูกันว่าเราจะลงเอยอย่างไร
Now let's see how we go.
ทีนี้มาดูกันว่าเราจะลงเอยอย่างไร