
นิยามของความรัก
แนวความคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการเมือง
เราอาจเคยสงสัยและตั้งคำถามว่า เหตุใดมนุษย์จึงต้องปกครองกัน ทำไมไม่ปล่อยให้มนุษย์อยู่กันเอง กระทั่งอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า การเมืองกับการปกครองเป็นเรื่องใกล้ตัว ซึ่งหลายคนจำเพาะในกลุ่มผู้ที่ขาดความสนใจต่อความเป็นมาเป็นมาในกิจการทางการเมืองอาจฟังดูไม่กระจ่างนัก ว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวประการใด
คำตอบต่อความสงสัยข้อแรกนั้นโยงใยไปถึงความข้อต่อมากล่าวคือ มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติเป็นสัตว์สังคม ที่ต้องอาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ เมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกัน หากมิได้กำหนดกติกาอะไรสักอย่างขึ้นมากำกับการอยู่รวมกันของมนุษย์แล้วนั้น มนุษย์ด้วยกันเองยังเชื่อว่าน่าจะก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในสังคมและการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เนื่องจากโดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ป่าเถื่อน ขลาดกลัวและไม่เป็นระเบียบดังที่ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1588-1679 ได้เคยกล่าวไว้ในผลงานปรัชญาการเมืองเลื่องชื่อเรื่อง “Leviathan” ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1651 ว่า เมื่อมนุษย์จำต้องอาศัยอยู่ร่วมกันในสังคมภายใต้กติกาแล้ว ก็จำเป็นอยู่ในตัวเองที่จะต้องกำหนดตัวผู้นำมาทำหน้าที่ควบคุมดูแลให้สังคมหรือการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย เช่นที่กล่าวมาเราคงพอจะทราบบ้างแล้วว่าเหตุใดจึงเกิดมีระบบการปกครองขึ้น และโดยนัยที่มนุษย์จำต้องปกครองกันนั้น หากเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างมนุษย์ด้วยกัน หรือการจะทำให้สังคมมีความเจริญก้าวหน้าขึ้นไป หลีกเลี่ยงมิได้เสียที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจทางการเมือง อันมีความหมายและบริบทที่สะท้อนออกมาในเรื่องของการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน การเมืองการปกครองซึ่งเป็นสภาพการณ์และผลที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ (Eulau 1963, 3) จึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตของมนุษย์อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ซึ่งก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ใดก็ตาม จำเป็นต้องให้ความสนใจกับเรื่องการเมืองการปกครองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เนื่องจากสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (Developmental Program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นเรื่องภาคราชการทั้งหลายต่างรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป ภายใต้ความมุ่งประสงค์ที่จะหยั่งรากประชาธิปไตยในสังคมไทย และหากได้มองย้อนไปถึงแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองโบราณเช่น อริสโตเติล (Aristotle) ปรัชญาเมธีชาวกรีกโบราณ ซึ่งได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์” ผู้กล่าวไว้ว่า มนุษย์ตามธรรมชาติเป็นสัตว์การเมืองต้องอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือชุมชน อันแตกต่างไปจากสัตว์โลกอื่น ๆ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณเป็นหลัก หากแต่มนุษย์ นอกจากจะอยู่ด้วยสัญชาตญาณแล้ว ยังมีเป้าหมายอยู่ร่วมกันอีกด้วย ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของมนุษย์จึงมิใช่มีชีวิตอยู่ไปเพียงวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น หากแต่เป็นการอยู่ร่วมกันเพื่อจะให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย เราก็จะมองเห็นภาพของการเมืองในแง่หนึ่งว่าการเมืองนั้นก็คือ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในชุมชนหรือสังคมเพื่อให้มีความสงบสุข
ความหมายของการเมือง
ในทางทฤษฎีรัฐศาสตร์ มุมมองที่ใช้พิจารณาการเมืองหรือพูดเป็นศัพท์ทางวิชาการก็คือแนวการศึกษาวิเคราะห์การเมือง (Approach to Political Analysis) ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ใครจะเห็นว่าแนวการมองการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงต่อการอธิบายความเป็นการเมืองได้มากที่สุด โดยคำว่า “การเมือง” นี้ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ได้ให้ความหมายไว้แตกต่างกันไปบ้างในรายละเอียด ตามแต่จะใช้ตัวแบบใดในการศึกษาวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมือง และด้วยตัวแบบที่เป็นกรอบในการศึกษาวิเคราะห์นี้ จะยังผลให้กรอบการมองคำว่าการเมืองต่างกันไป ในขณะที่สาระสำคัญของคำจำกัดความเป็นไปในทำนองเดียวกันกล่าวคือเป็นเรื่องของการใช้อำนาจแบบสองทางระหว่างฝ่ายที่เป็นผู้ปกครอง (Rulers) และฝ่ายผู้ถูกปกครอง (Ruled) ดังจะได้ยกมากล่าวถึง ซึ่งสำหรับผู้ศึกษารัฐศาสตร์มือใหม่แล้ว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่าการเมืองนั้น จึงดูจะเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนอยู่มิใช่น้อย เนื่องมาจากความหมายของการเมืองที่ปรากฏอยู่ในตำราเล่มต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นเผยแพร่นั้นมีอยู่หลากหลายต่างกันไปตามความเจตนารมณ์และมุ่งประสงค์ในการนำความหมายของการเมืองเพื่อไปอธิบายปรากฏการณ์ของผู้ให้คำนิยามความหมายของการเมือง ดังได้กล่าวไปแล้ว
คำจำกัดความของการเมืองที่ชัดเจนและรัดกุมมากที่สุดโดยนัยที่ได้กล่าวไปนี้ พิจารณาได้จากทัศนะของชัยอนันต์ สมุทวณิช (2517, 61) ที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูปของรัฐและการจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในรัฐระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง โดยเมื่อสังคมมนุษย์ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาล คนเราจึงต้องแบ่งออกเป็นสองพวกใหญ่ ๆ คือ ผู้ที่ทำหน้าที่บังคับกับผู้ถูกบังคับเสมอ
.....ผู้เรียบเรียงได้รวบรวมและประมวลคำนิยามหรือความหมายของคำว่าการเมือง มานำเสนอโดยจำแนกได้เป็น 6 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มแรก การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ โดยเป็นการต่อสู้กันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจและอิทธิพลในการบริหารกิจการบ้านเมือง โดยคำนิยามของการเมืองในเชิงอำนาจที่น่าสนใจอันหนึ่ง ที่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนมากได้แก่นิยามของ เพนนอคและสมิธ (Pennock and Smith 1964, 9) ที่กล่าวว่า การเมือง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบันและองค์กรในสังคม ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเด็ดขาดครอบคลุมสังคมนั้น ในการสถาปนาและทำนุรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม มีอำนาจในการทำให้จุดประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคมได้บังเกิดผลขึ้นมา และมีอำนาจในการประนีประนอมความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนในสังคม
อีกหนึ่งคำนิยามการเมืองที่ถือได้ว่าครอบคลุมและช่วยให้เห็นภาพความเกี่ยวพันของการเมืองกับบุคคลในสังคมได้แก่ ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2539, 3) ที่กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ช่วงชิง การรักษาไว้และการใช้อำนาจทางการเมือง โดยที่อำนาจทางการเมืองหมายถึง อำนาจในการที่จะวางนโยบายในการบริหารประเทศหรือสังคม อำนาจที่จะแต่งตั้งบุคคลเพื่อช่วยในการนำนโยบายไปปฏิบัติ และ อำนาจที่จะใช้ข้าราชการ งบประมาณหรือเครื่องมืออื่น ๆ ในการนำนโยบายไปปฏิบัติ แนวการมองการเมืองเป็นเรื่องของอำนาจ (Power Approach) ดังที่ได้ยกตัวอย่างไปนี้ เป็นแนวทางการศึกษาหนึ่งที่ได้รับความนิยมชมชอบในหมู่นักรัฐศาสตร์และนักสังคมศาสตร์ทั่วไป ที่เห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องหรือมีบริบทเกี่ยวกับการใช้อำนาจเพื่อการปกครองประชาชน ก็มักให้คำนิยามของการเมืองว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ในเชิงการใช้อำนาจของรัฐาธิปัตย์ ต่อผู้อยู่ใต้อำนาจซึ่งก็คือประชาชนนั่นเอง โดยคำนิยามเช่นนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ออกมาจากสถาบันทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่ทำหน้าที่ในการตรากฎหมายต่าง ๆ เพื่อบังคับใช้ มาจากรัฐบาลในรูปของนโยบายสาธารณะ (Public Policies) โครงการพัฒนา (development program) และงานต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นหรือดำเนินไปโดยภาคราชการ รวมไปถึงการตัดสินคดีความหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลต่อบุคคล และบุคคลกับรัฐ จึงล้วนแต่เป็นเรื่องที่การเมืองส่งผลกระทบต่อนักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยบริบทดังกล่าวการศึกษาเรื่องการเมืองและการปกครองของประเทศ จึงเป็นสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในแทบทุกสาขาวิชาในระดับอุดมศึกษาให้นักศึกษาได้ร่ำเรียน ทำความรู้ความเข้าใจในฐานะที่อย่างน้อยก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม และเป็นความรู้หนึ่งที่ประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยสมควรสั่งสมให้แก่พลเมืองของรัฐ เพื่อประโยชน์เป็นพื้นฐานของการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
นักรัฐศาสตร์บางท่านมองว่า แท้จริงนั้น การเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องการต่อสู่แย่งชิงกันของกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ ในอันที่จะแย่งชิงกันเข้าสู่อำนาจการบริหารประเทศ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้ผลผลิตจากระบบการเมือง (Political Outputs-ผลผลิตของระบบการเมือง เป็นคำศัพท์เทคนิคทางรัฐศาสตร์ตามทัศนะของอีสตัน (David Easton) นักรัฐศาสตร์อเมริกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของแนวคิดทฤษฎีการเมืองเชิงระบบ (the Systems Theory) อันได้แก่ นโยบาย กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ โครงการหรือแผนงานพัฒนาของภาครัฐและภาคราชการ ซึ่งผลในทางที่เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของตนมากที่สุด เราเรียกการวิเคราะห์การเมืองแนวทางนี้ว่าเป็น การวิเคราะห์เชิงกลุ่มผลประโยชน์ ซึ่งดูไปก็เป็นส่วนสำคัญหนึ่งของแนวการมองการเมืองเชิงอำนาจที่จะกล่าวถึงต่อไป ความหมายของการเมืองในมุมมองนี้ จึงเป็นว่า การเมืองการเมืองคือการที่บุคคลใดหรือกลุ่มใดในสังคม ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ร่วมกัน หรือขัดกันก็ตาม หรือมีความเห็นเหมือนกันหรือไม่เหมือนกันก็ตาม มาทำการต่อสู้เพื่อสรรหาบุคคลมาทำหน้าที่ในการปกครองและเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจที่จะให้เขาสามารถตัดสินใจในเรื่องของส่วนรวมได้โดยชอบธรรม ซึ่งจัดเป็นแนวที่นักรัฐศาสตร์เชิงพฤติกรรมการเมือง (Political Scientist) นิยมกัน
กลุ่มที่สอง มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรทรัพยากรของรัฐหรือสิ่งที่มีคุณค่าทางสังคม ดังเช่นมุมมองของอีสตัน (David Easton) ซึ่งได้อธิบายไว้ว่า การเมือง เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้กับสังคมอย่างชอบธรรม (The authoritative allocation of values to society) ความหมายของการเมืองดังที่ยกตัวอย่างมานี้ เป็นนิยามที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงจากสำนักพหุนิยม (Pluralism) อย่างไรก็ดี ชัยอนันต์ สมุทวณิช (2535, 4-5) อธิบายว่า เราจะใช้ความหมายการเมืองดังกล่าวนี้ได้ก็ต่อเมื่อ ในสังคมนั้น ๆ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งทางตรงและทางอ้อม มีความเห็นพ้องต้องกันและยอมรับในกติกาที่กำหนดการใช้อำนาจเพื่อแบ่งปันสิ่งที่มีคุณค่าเท่านั้น ส่วนในสังคมที่ยังไม่มีความเห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับกติกาการกำหนดสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม ชัยอนันต์ อธิบายว่า การเมืองยังคงเป็นเรื่องของการแข่งขันกันเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการแบ่งปันคุณค่าที่ให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ หรือ “The competition for the authority to determine the authoritative allocation of values to society” โดยนัยเช่นนี้ การเมืองจึงมีสองระดับ ระดับแรก การเมืองอยู่ภายใต้การแข่งขัน ขัดแย้งของฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองที่ทุก ๆ ฝ่ายยอมรับได้ ในขณะที่การเมืองในความหมายอย่างแรกดังทัศนะของนักคิดกลุ่มพหุนิยมที่ได้กล่าวไปแล้ว ดูจะยอมรับในจุดเน้นว่ารัฐ เป็นการรวมกันหรือประกอบกันของกลุ่มหลากหลายในสังคม และรัฐมิได้เป็นเครื่องมือทางการบริหาร โดยที่มิได้เป็นตัวกระทำทางการเมือง (actors) ที่จะชี้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่รัฐเป็นเพียงรัฐบาล (State as government) ที่ทำหน้าที่เพียงเอื้ออำนวยความสะดวกในการแข่งขันกันของกลุ่มหลากหลายเท่านั้น (ชัยอนันต์ สมุทวณิช 2535, 6)
นอกจากนี้ คำนิยามการเมืองในกลุ่มที่สอง ซึ่งได้รับการกล่าวถึงอย่างสูงยังได้แก่ ทัศนะของลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ที่กล่าวว่า การเมือง เป็นเรื่องของการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลและผู้มีอิทธิพล และการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับว่า ใคร ทำอะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is, who gets “What”, “When” and “How”)
กลุ่มที่สาม มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง ทั้งนี้เนื่องจากทรัพยากรของชาติที่มีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ผู้คนซึ่งต้องการใช้ทรัพยากรนั้นมีอยู่มากและความต้องการใช้ไม่มีขีดจำกัด การเมืองจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการที่คนในสังคมไม่อาจตกลงกันได้หรือเกิดมีความขัดแย้งขึ้น อย่างไรก็ดี การมองการเมืองในลักษณะนี้มีข้อโต้แย้งอยู่มากว่า หากไม่อาจยุติข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้ บ้านเมืองย่อมตกอยู่ในสภาวะยุ่งยากวุ่นวาย ต่อมาจึงมีผู้ให้มุมมองการเมืองใหม่ว่าเป็นเรื่องของการประนีประนอมความขัดแย้งมากว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้ง
กลุ่มที่สี่ มองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการประนีประนอมผลประโยชน์ เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดความขัดแย้งจากการดำเนินงานทางการเมืองที่ไม่มีทางออก
กลุ่มที่ห้า ถือว่าการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐและการบริหารประเทศในกิจกรรมหลัก 3 ด้านคือ งานที่เกี่ยวกับรัฐ การบริหารประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย และการอำนวยการบริหารราชการแผ่นดินซึ่งเป็นการควบคุมให้มีการดำเนินงานตามนโยบาย ซึ่งหากพิจารณาให้ละเอียดแล้ว การเมืองโดยนัยยะความหมายประการนี้ เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยวกับการเมืองในความหมายเชิงอำนาจ ซึ่งก็เป็นเพราะอำนาจทางการเมืองนั้น ได้ถูกนำไปใช้ผ่านกระบวนการนโยบายและการแต่งตั้งคัดสรรผู้นำนโยบายไปปฏิบัติ (ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ) ในรูปของอำนาจและการปฏิบัติงานทางการปกครอง และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองและการบริหารหรือการปกครองที่ยากจะแยกออกจากกันได้
กลุ่มที่หก การเมืองเป็นเรื่องของการกำหนดนโยบายของรัฐ กล่าวคือ การเมืองคือกิจกรรมใดใดที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย หน่วยงานและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการกำหนดนโยบาย โดยนัยหนึ่ง การเมืองก็คือกระบวนการกำหนดนโยบายของรัฐ นั่นเอง
บ้านฮารุนะ
......แฮมทาโร่ (ชื่อญี่ปุ่น:ハム太郎, ฮามุทาโร่ / ชื่ออังกฤษ:Hamtaro) เพศผู้ เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ราศีกรกฎ แฮมสเตอร์ตัวน้อยที่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นๆเป็นอย่างดี มีนิสัยร่าเริง และมักจะมองโลกในแง่ดีเสมอ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นฮีโร่ในดวงใจของแฮมสเตอร์ทุกตัว ชอบริบบ้อนจัง และตัวริบบ้อนจังเองก็ชอบเขาด้วยเหมือนกัน (CV:คุรุมิ มามิยะ)
......ฮารุนะ ฮิโรโกะ หรือ โรโกะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:春名ヒロ子 / ชื่ออังกฤษ:Laura Haruna)
เจ้าของแฮมทาโร่ เรียนอยู่ชั้น ป.5 เป็นเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใส มีจิตใจอ่อนโยน แอบชอบคิมูระคุงอยู่ แต่โรแบร์โต้ก็ทำให้จิตใจของเธอหวั่นไหวอยู่เหมือนกัน สูง153ซม.หนัก37กก. (CV:ฮารุนะ อิเคซาวะ)
......ฮารุนะ ฮิโรมิ (ชื่อญี่ปุ่น:春名ヒロミ / ชื่ออังกฤษ:Marian Haruna)
แม่ของโรโกะจัง เป็นนักจัดดอกไม้ สูง178ซม.หนัก39กก. (CV:เร ซาคุมะ)
......ฮารุนะ ยูเมะทาโร่ (ชื่อญี่ปุ่น:春名ユメ太郎 / ชื่ออังกฤษ:Forrest Haruna)
พ่อของโรโกะจัง เป็นบรรณาธิการนิตยสาร (CV:ฮิโรชิ อิโซเบะ)
......ดอนจัง (ชื่อญี่ปุ่น:どんちゃん / ชื่ออังกฤษ:Brandy)
สุนัขที่บ้านโรโกะจังเลี้ยงไว้ ชื่อเต็มๆว่า แบรนดอน มีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ชอบนอนกลางวันเป็นงานอดิเรก เป็นเพื่อนที่ดีของพวกแฮมทาโร่ เคยช่วยพวกแฮมทาโร่ให้รอดพ้นจากอันตรายมาหลายครั้งหลายครา (CV:ริคาโกะ ไอคาวะ)
ตัวละครอื่นๆ
แฮมสเตอร์
......ผู้เฒ่าแฮม (ชื่อญี่ปุ่น:長老ハム, โจโรฮามุ / ชื่ออังกฤษ:Elder Ham)
แฮมสเตอร์รุ่นอาวุโสที่มีอายุมากที่สุด ชอบเผลองีบหลับในเวลาที่กำลังพูด และมักจะหาเรื่องอำพวกแฮมสเตอร์รุ่นเด็กให้ตกใจเล่นอยู่เสมอ (CV:ทัตสึยูกิ อิชิโมริ)
......คุณย่าแฮม (ชื่อญี่ปุ่น:おハムばあさん, โอฮามุบาซัง / ชื่ออังกฤษ:Auntie Viv)
แม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็เป็นแฮมสเตอร์ที่อารมณ์ดี สุขภาพแข็งแรงและกระฉับกระเฉงจนดูไม่สมกับวัย รู้จักมักคุ้นกับผู้เฒ่าแฮมมาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน (CV:มาซาโกะ โนซาวะ)
......โอเอซิส หรือโอเอซิสคุง (ชื่อญี่ปุ่น:オアシスくん / ชื่ออังกฤษ:Omar) เพศผู้ มีใบหน้าคล้ายกับสนูซเซอร์คุง เติบโตมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง มักจะออกเดินทางไปรอบโลกพร้อมกับ คาเมะโซ เต่าคู่หู (CV:ฮิโรมิ อิชิคาวะ)
......ซาบุ หรือคุณซาบุ (ชื่อญี่ปุ่น:サブさん / ชื่ออังกฤษ:Sabu) เพศผู้ เกิดวันที่ 10 มีนาคม ราศีกุมภ์ แม้จะมีใบหน้าคล้ายพวกยากูซ่า แต่จริงๆแล้วเป็นแฮมสเตอร์ที่ใจดีและพึ่งพาได้ ทำอาชีพร้านรถเข็นแผงลอย (CV:โทโมฮิโระ นิชิมูระ)
......คุรุริน หรือคุรุรินจัง (ชื่อญี่ปุ่น:くるりんちゃん / ชื่ออังกฤษ:Sparkle) เพศเมีย เกิดวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ราศีมังกร เป็นแฮมสเตอร์ของคุรมิจัง ดาราไอดอลชื่อดัง จึงค่อนข้างหยิ่งและถือตัวเล็กน้อย แรกๆไม่ค่อยชอบพวกกลุ่มแฮมแฮมเท่าไหร่นัก แต่ภายหลังก็เริ่มชอบแฮมทาโร่ และพยายามหาทางทำให้แฮมทาโร่หันมาสนใจตนเองให้ได้ เวลาพูดมักจะใช้คำลงท้ายประโยคว่า "นะคะ" เสมอ (CV:มาซาโกะ โจ)
......ติ๊ดติด หรือติ๊ดติดคุง (ชื่อญี่ปุ่น:ぬけないくん, นุเคไนคุง/ ชื่ออังกฤษ:Stucky) เพศผู้ เกิดวันที่ 10 ตุลาคม ราศีกันย์ แฮมสเตอร์ที่ลำตัวติดอยู่ในท่อและไม่สามารถออกมาได้ เลยต้องไปไหนมาไหนพร้อมกับท่อ (นุเคไน แปลว่า ถอดไม่ออก) มีความสามารถในการเล่นซ่อนแอบมาก เป็นเพื่อนสนิทกับแค็ปปี้คุง (CV:ฟูจิโกะ ทากิโมโตะ)
......เมกาจิโร่ หรือเมกาจิโร่คุง (ชื่อญี่ปุ่น:メカじろう / ชื่ออังกฤษ:Robo Joe)
หุ่นยนต์แฮมสเตอร์ที่คุณปู่ของโรโกะจังเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น มีฟังค์ชั่นพิเศษ สามารถเรียนรู้และพูดภาษามนุษย์กับภาษาแฮมสเตอร์ได้ แต่กลุ่มแฮมแฮมไม่รู้ว่าเมกาจิโร่เป็นหุ่นยนต์ เลยมองว่าเขาเป็นแฮมสเตอร์ที่แปลกประหลาด
......เนิร์ส หรือเนิร์สจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ナースちゃん / ชื่ออังกฤษ:Flora) เพศเมีย เกิดวันที่ 9 กันยายน ราศีสิงห์
แฮมสเตอร์ของคุณหมอไลอ้อน ทำหน้าที่เป็นพยาบาลผู้ช่วยของคุณหมออยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์เคลื่อนที่ไลอ้อน มีจิตใจโอบอ้อมอารี และตั้งใจทำงานมาก ตามต้นฉบับเดิมแล้ว เนิร์สจังจะเป็นแฟนกับโทร่าแฮมคุง แต่ในภาคอะนิเมะได้มีการเปลี่ยนแปลงบทใหม่ (CV:ฮารุฮิ เทราดะ)
......นิจิแฮม หรือนิจิแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:にじハムくん / ชื่ออังกฤษ:Prince Bo) เพศผู้ เกิดวันที่ 24 กรกฎาคม ราศีกรกฎ
เจ้าชายแห่งอาณาจักรสายรุ้ง เป็นแฮมสเตอร์ที่บินได้เพราะมีปีกที่กลางหลังเหมือนกับแมลงเต่าทอง และสามารถสร้างสายรุ้งได้ด้วยร่มสายรุ้งที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลา (นิจิ แปลว่า สายรุ้ง) (CV:ฮิโรโกะ ทางุจิ)
......อุคิแฮม หรืออุคิแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:ウキハムくん / ชื่ออังกฤษ:Ook-Ook) เพศผู้
แฮมสเตอร์รูปร่างหน้าตาคล้ายลิงที่เติบโตมากับฝูงลิง จึงสามารถพูดได้แต่ภาษาลิง (อุคิ เป็นเสียงร้องของลิงในภาษาญี่ปุ่น) เป็นเพื่อนสนิทกับไทโฮคุง (CV:ริเอะ คุงิมิยะ)
......ไทโฮ หรือไทโฮคุง (ชื่อญี่ปุ่น:たいほくん / ชื่ออังกฤษ:Buster) เพศผู้
เป็นแฮมสเตอร์ที่แต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายตำรวจ และคอยช่วยดูแลรักษาความสงบเหมือนกับตำรวจ (ไทโฮ แปลว่า จับกุมตัว) เป็นเพื่อนสนิทกับอุคิแฮมคุง (CV:วาซาบิ มิซึตะ)
......คาเมะแฮม หรือคาเมะแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:カメハムくん / ชื่ออังกฤษ:Seamore) เพศผู้
เป็นแฮมสเตอร์ที่แบกกระดองเต่าไว้ที่หลัง (คาเมะ แปลว่า เต่า) มีความสามารถพิเศษแตกต่างจากแฮมสเตอร์ตัวอื่นๆ ตรงที่สามารถว่ายน้ำได้ แต่ไม่ถูกกับอากาศหนาว ปัจจุบันเหมือนจะเป็นแฟนกับโพนี่เทลจัง (CV:ยูจิ อุเอดะ)
......โพนี่เทล หรือโพนี่เทลจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ポニーテールちゃん / ชื่ออังกฤษ:Barette) เพศเมีย
เป็นแฮมสเตอร์ของอาจารย์สอนถักไหมพรม มีความสามารถในการถักไหมพรมมาก ปัจจุบันเหมือนจะเป็นแฟนกับคาเมะแฮมคุง (CV:จิเอมิ จิบะ)
[แก้] มนุษย์
......จุน หรือจุนจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ジュンちゃん / ชื่ออังกฤษ:June)
เจ้าของแพชจัง เป็นเพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจัง สนิทกับเคียวโกะจัง ถนัดด้านการถักไหมพรม (CV:คาโอริ มาโทอิ)
......เคียวโกะ หรือเคียวโกะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:キョウコちゃん / ชื่ออังกฤษ:Kylie)
เจ้าของจิบิมารุจัง เป็นเพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจัง สนิทกับจุนจัง ถนัดด้านการทำอาหาร (CV:โทโมโกะ อิชิมูระ)
......คิมูระ ไทจิ หรือคิมูระคุง (ชื่อญี่ปุ่น:木村太一 / ชื่ออังกฤษ:Travis)
เพื่อนร่วมชั้นที่โรโกะจังแอบชอบอยู่ สังกัดชมรมฟุตบอล เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หัวดี นิสัยอ่อนโยน ตัวสูง เล่นฟุตบอลเก่ง ป๊อปปูลาร์ในหมู่สาวๆมาก ภายหลังได้ย้ายไปอยู่ลอนดอนตามงานของพ่อ (CV:ยู อาซาคาวะ)
......มาเรีย หรือมาเรียจัง (ชื่อญี่ปุ่น:マリアちゃん)
เจ้าของริบบ้อนจัง เป็นคุณหนูในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ เล่นเปียโนเก่งมาก (CV:เมงุมิ โทโยงุจิ)
......คุริฮาระ คุรุมิ หรือคุรุมิจัง (ชื่อญี่ปุ่น:栗原くるみ, คุริฮะระ คุรุมิ / ชื่ออังกฤษ:Glitter)
เจ้าของคุรุรินจัง เรียนอยู่ชั้น ป.3 เป็นดาราไอดอลที่ถือตัวเล็กน้อย แอบชอบคิมูระคุงอยู่ เลยมองว่าโรโกะจังเป็นคู่แข่งที่จะมาแย่งคิมูระคุงกับตนเอง (CV:จินามิ นิชิมูระ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น โทโมเอะ ฮันบะ)
......โรแบร์โต้ ทาคางิ (ชื่อญี่ปุ่น:ロベルト高城 / ชื่ออังกฤษ:Roberto)
เพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจังที่กลับมาจากบราซิล สังกัดชมรมฟุตบอล เป็นคู่กัดกับโรโกะจัง เนื่องจากพออ้าปากพูดได้ไม่กี่คำ เป็นต้องทะเลาะกันทุกที ที่บ้านไม่มีแฮมสเตอร์ แต่เป็นเจ้าของสุนัขชื่อแซมบ้า (CV:ซาจิ มัตสึโมโตะ)
......ฮิคาริ หรือคุณฮิคาริ (ชื่อญี่ปุ่น:ヒカリさん, ฮิคะริซัง / ชื่ออังกฤษ:Hillary)
นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้เป็นเจ้าของโทระแฮมจัง เป็นนักกีฬายิมนาสติกลีลาใหม่ที่มีความสามารถมาก (CV:ยูโกะ คาโต้)
......โนริโอะ หรือคุณโนริโอะ (ชื่อญี่ปุ่น:ノリオさん, โนะริโอะซัง / ชื่ออังกฤษ:Noel)
เจ้าของโทระแฮมคุง เป็นผู้ฝึกสอนในฟิตเนสที่คุณฮิคาริไปออกกำลังกายเป็นประจำ แอบชอบคุณฮิคาริอยู่ แต่เป็นคนขี้อาย เลยไม่กล้าบอกรักสักที (CV:โนบุยูกิ ฮิยามะ)
......นานิวะ มิยาโกะ (ชื่อญี่ปุ่น:浪花 都)
เจ้าของร้านสะดวกซื้อ "นานิวะโชเต็น" แม่ของซาดาคิจิ เป็นแฟนตัวยงของทีมเบสบอลดัง ฮันชินไทเกอร์ส เวลาที่ทีมชนะเลิศการแข่งขันประจำลีกในฤดูกาล จะลดราคาสินค้าในร้านแบบสะบั้นหั่นแหลกเพื่อเป็นการฉลองชัย เป็นเพื่อนกับคุณโจจิมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน (CV:คาโอรุ โมโรตะ)
......นานิวะ ซาดาคิจิ หรือซาดาคิจิคุง (ชื่อญี่ปุ่น:浪花サダ吉)
ลูกชายของคุณมิยาโกะ เป็นเจ้าของไมโดะคุง เรียนอยู่ห้องเดียวกับยูเมะจัง เป็นแฟนตัวยงของทีมฮันชินไทเกอร์ส เหมือนกับแม่ ให้ความเคารพและนับถือคุณโจจิมาก (CV:จิยาโกะ ชิบาฮาระ)
......โจจิ หรือคุณโจจิ (ชื่อญี่ปุ่น:丈二さん, โจจิซัง)
เจ้าของร้านขายแว่นตา "มิลาโน" ผู้เป็นเจ้าของแว่นน้อย เป็นเพื่อนกับคุณมิยาโกะมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน (CV:คาซึฮิโระ ยามาจิ)
......ยูเมะ หรือยูเมะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ユメちゃん)
เจ้าของพี่โย่ง เป็นลูกสาวเจ้าของร้านหนังสือ เรียนอยู่ห้องเดียวกับซาดาคิจิคุง ชอบแต่งนิทานมาก (CV:ทาเอโกะ คาวาตะ)
......ซาเอะและยู หรือคุณซาเอะและคุณยู (ชื่อญี่ปุ่น:サエさん, ซะเอะซัง ; ユウさん, ยูซัง)
เจ้าของร้านขายของชำ ผู้เป็นเจ้าของแพนด้าคุง ทั้งคู่ให้ความเอ็นดูแพนด้าคุงเป็นอย่างดีเหมือนกับลูกแท้ๆ (CV:เฮียวเซ (คุณซาเอะ) , โทคุโยชิ คาวาชิมะ (คุณยู))
......คุณหมอไลอ้อน (ชื่อญี่ปุ่น:ライオン先生, ไรองเซ็นเซ)
เจ้าของเนิร์สจัง เป็นสัตวแพทย์ที่มีชื่อเสียง และเป็นเจ้าของโรงพยาบาลสัตว์เคลื่อนที่ไลอ้อนด้วย (CV:มาซาชิ เอบาระ)
สัตว์เลี้ยง
......แซมบ้า (ชื่อญี่ปุ่น:サンバ)
......สุนัขของโรแบร์โต้ (CV:เร ซาคุมะ)
......ลินลี่ (ชื่อญี่ปุ่น:リリィ)
......สุนัขของมาเรียจัง (CV:ฟุยุกะ โออุระ)
เพลง Who'd Have Known
It's 5 o' clock in the morning,
ตอนนี้เป็นเวลาตีห้า
Conversation got boring,
บทสนทนาเริ่มจะน่าเบื่อ
You said you're going to bed soon,
คุณบอกว่าคุณจะเข้านอนในเร็วๆนี้
So I snuck off to your bedroom,
ฉันจึงแอบเข้าไปในห้องนอนของคุณ
And I thought I'd just wait there,
และฉันคิดว่าฉันจะรออยู่ที่นั่น
Until I heard you come up the stairs,
จนกว่าฉันจะได้ยินเสียงฝีเท้าตอนคุณเดินขึ้นบันไดมา
And I pretended I was sleeping,
และฉันทำเป็นว่าฉันกำลังนอนหลับอยู่
And I was hoping you would creep in with me.
และฉันก็หวังว่าคุณจะค่อยๆคลานมาร่วมเตียงกับฉัน
You put your arm around my shoulder,
คุณโอบไหล่ฉันเอาไว้
It was as if the room got colder,
รู้สึกเหมือนว่าอุณหภูมิในห้องนี้เย็นลง
And we moved closer in together,
และเราสองคนก็ขยับเข้ามาชิดกันมากขึ้น
And started talking about the weather,
และเริ่มพูดถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ
You said tomorrow would be fun,
คุณบอกว่าพรุ่งนี้น่าจะสนุก
And we could watch A Place In The Sun,
และเราสองคนสามารถนั่งดูหนังเรื่อง อะ เพลส อิน เดอะ ซัน
I didn't know where this was going,
ฉันไม่รู้ว่าเรื่องราวของเราสองคนจะไปถึงไหน
When you kissed me.
เวลาที่คุณจูบฉัน
Are you mine? Are you mine?
คุณเป็นของฉันหรือไม่? คุณเป็นของฉันหรือไม่?
Cos I stay here all the time,
เพราะตัวฉันเองอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
Watching telly, Drinking wine,
ดูโทรทัศน์ ดื่มไวน์
Who'd have known, Who'd have known,
ใครจะไปรู้ ใครจะไปรู้
When you flash up on my phone,
เมื่อใบหน้าของคุณปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของฉัน
I no longer feel alone,
ฉันไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป
No longer feel alone.
ไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป
I haven't left you for days now,
ฉันไม่ได้จากกับคุณเป็นเวลาหลายวันแล้ว
And I'm becoming amazed how,
และฉันเริ่มรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
You're quite affectionate in public,
คุณเป็นคนน่ารักเวลาอยู่ในที่สาธารณะ
In fact your friend said it made her feel sick,
อันที่จริงแล้ว เพื่อนของฉันบอกว่านั่นทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้
And even though it's moving forward,
และถึงแม้ว่ามันจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
There's just the right amount of awkward,
แต่มันก็ยังมีความเขินอายอยู่บ้าง
And today you accidentally,
และวันนี้ คุณก็เผลอ
Called me baby.
เรียกฉันว่า ที่รัก
Are you mine? Are you mine?
คุณเป็นของฉันหรือไม่? คุณเป็นของฉันหรือไม่?
Cos I stay here all the time,
เพราะตัวฉันเองอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
Watching telly, Drinking wine,
ดูโทรทัศน์ ดื่มไวน์
Who'd have known, Who'd have known,
ใครจะไปรู้ ใครจะไปรู้
When you flash up on my phone,
เมื่อใบหน้าของคุณปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของฉัน
I no longer feel alone,
ฉันไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป
Let's just stay, Let's just stay,
เราอยู่ด้วยกันเถอะ เราอยู่ด้วยกันเถอะ
I wanna lie in bed all day,
ฉันอยากนอนเฉยๆอยู่บนเตียงทั้งวัน
We'll be laughing all the way,
เราจะได้หัวเราะตลอดเวลา
You told your friends,
คุณบอกเพื่อนๆของคุณ
They all know,
พวกเขาทุกคนรู้กันหมด
That we exist but we're taking it slow,
ว่าเรายังอยู่ด้วยกัน เพียงแต่เราค่อยๆศึกษาดูใจกันไปเรื่อยๆ
Let's just see how we go,
มาดูกันว่าเราจะลงเอยอย่างไร
Now let's see how we go.
ทีนี้มาดูกันว่าเราจะลงเอยอย่างไร